วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558
ยาแก้ช้ำใน
วันนี้เราว่ามาด้วยเรื่องของ ยาแก้ช้ำใน
.
"อาการช้ำในเจ็บอก" เวลาที่เราโดนอะไรกระแทกแรงๆ โดยเฉพาะเวลาที่เรารถล้ม ตกจากบันได หรือโดนของแข็งฟาดเข้าไปอย่างแรง จัดเป็นเรื่องอันตรายที่เราไม่ควรมองข้าม บางคนพอเกิดอาการช้ำในขึ้นมาก็ไม่ยอมไปหาหมอเพื่อให้หมอดูอาการหรือ X-ray เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หาย แต่ที่ไหนได้ผ่านไปไม่กี่วันก็เกิดเสียชีวิตกันไปก็มีไม่น้อย ดังนั้นใครที่มีอาการช้ำในที่เกิดจากอุบัติเหตุต้องระวังเป็นพิเศษ
.
เราทั้งหลายอาจเคยได้ยินมาว่า ถ้าช้ำใน ก็ให้ไปกินน้ำใบบัวบก จะช่วยได้
วันนี้เราจะ มานำเสนอ สูตร ยาแก้ช้ำ ที่พ่อเอียะได้ใช้รักษาอยู่เป็นประจำ สำหรับผู้ที่ มีอาการช้ำในต่างๆ เช่นรถล้ม หกล้ม แล้วมาหาพ่อเอียะ
โดย มีตัวยาดังต่อไปนี้
.
ส่วนประกอบ : มีดังนี้
๑.รากและต้นทองพันชั่ง 1/2 กำมือ
๒.แก่นฝางเสน 3-4 ชิ้น
๓.อ้อยแดง ให้ความหวาน ถ้าไม่มี ให้น้ำตาลทรายแดงก็ได้เช่นกัน ถ้าเป็นอ้อยก็ใช้ 3-4 ชิ้น ถ้าเป็นน้ำตาลทรายแดง ก็ 2 ช้อนชา
๔.ใบหนุมานผสานกาย 5-8 ใบ
.
วิธีปรุงยา : โดยน้ำรากและต้นทองพันชั่ง ฝางเสน ใบหนุมานผสานกาย และอ้อยแดงต้มลงในน้ำเปล่า ต้มให้เหลือ 1/2 ของน้ำที่ใส่ลงไป หากว่าในการต้มไม่ได้ใส่อ้อยแดงลงไป พอต้มเสร็จ ก็ค่อยใส่ น้ำตาลทรายแดงลงไป 2-3 ช้อนชา หรือตามต้องการ รับประทานเช้าเย็นจนกว่าจะหายจากอาการช้ำใน หรือ โดยต้มจนกระทั้งฝางเสนจืด (ไม่มีสีแดง) จึงค่อยเปลี่ยนยาหม้อใหม่
.
สรรพคุณ : บำรุงเลือด แก้ช้ำใน บำรุงร่างกาย
ยา 3 ราก
ว่าด้วยเรื่องของ ยา 3 ราก
สมุนไพรตำรับหนึ่งซึ่งมีการใช้บำบัดรักษาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดตามวัด หรือการบำบัดโดยแพทย์แผนไทยและแพทย์พื้นบ้าน คือ ตำรับยาสามราก ซึ่งประกอบด้วย โลดทะนงแดง พญารากเดียว(ปลาไหลเผือก) และฮางฮ่อน (พญาไฟ) ปัจจุบันมีการใช้ตำรับยาสามรากในหลายพื้นที่ โดยมีขนาดการใช้ วิธีเตรียมยา และใช้บำบัดการเสพ/ติดยาเสพติดหลากหลายชนิด โดยก่อเกิดองค์ความรู้ต่างๆ ทั้งด้านการทดลองวิทยาศาสตร์ถึงฤทธิ์และผลของการใช้ยาสามราก และองค์ความรู้เชิงสังคมของแพทย์แผนไทยและแพทย์พื้นบ้านซึ่งเป็นความรู้เฉพาะตัวบุคคล
.
.
ตัวยาเดี่ยว
โลดทะนงแดง เป็นสมุนไพรที่ใช้แก้พิษ เช่น พิษงู จากการศึกษาโลดทะนงแดง มีฤทธิ์ทำให้อาเจียน
ปลาไหลเผือก(พญารากเดียว) เป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานาน มีฤทธิ์แก้ไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาลาเลีย
พญาไฟ (ฮางฮ่อน)มีฤทธิ์ร้อนทำให้อาเจียน ขับผายลม และระบาย
.
.
ตัวยาเดี่ยว
โลดทะนงแดง เป็นสมุนไพรที่ใช้แก้พิษ เช่น พิษงู จากการศึกษาโลดทะนงแดง มีฤทธิ์ทำให้อาเจียน
ปลาไหลเผือก(พญารากเดียว) เป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานาน มีฤทธิ์แก้ไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาลาเลีย
พญาไฟ (ฮางฮ่อน)มีฤทธิ์ร้อนทำให้อาเจียน ขับผายลม และระบาย
ต้นพระเจ้าปลูกหลง
ตามประวัติเรื่องเล่าของคนคนโบราณ ได้กล่าวถึงประวัติของต้นพระเจ้าปลูกหลง(โลดทะนงแดง) ว่าเมื่อครั้งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดง ยมกะปาฏิหาริย์ที่ต้นมะม่วง แล้วขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดา ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงค์ เมื่อครบเวลาพระองค์ได้เสด็จกลับ ลงมาใน วันเทโวโรหณะ ซึ่งในครั้งนั้น พระอินทร์ ได้รับสั่งให้เทวดา นำพืชสวรรค์(โลดทะนงแดง และสมุนไพรอื่นๆ) ลงไปปลูกที่เมืองมนุษย์เพื่อ เป็นทำการถวายเป็นพุทธบูชา แด่องค์พระศาสดา หลังจากปลูกพืชสวรรค์เหล่านั้นเสร็จแล้วก็ได้กลับสู่สวรรค์ เมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรินิพพาน ก็ไม่มีผู้ใดจำได้ว่าเมื่อครั้งนั้น เคยมีเทวดานำพืชสวรรค์มาปลูกยังโลกมนุษย์ไว้ จึงเป็นที่มาของคำว่า พระเจ้าปลูกหลง (พระเจ้าในที่นี้คือเทวดานำมาปลูกแล้วลืม)
.
ต้องบอกก่อนว่านนี่คือตำนาน เรื่องเล่านะครับ นำมาให้ท่านผู้อ่าน อ่านเล่นเท่านั้น อย่าคิดมากนะครับ เพราะว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีในพระไตรปิฎก
โรคผิดสำแดง
จากครั้งที่แล้ว เราได้ให้ความรู้เรื่องโรคผิดสำแดงไปแล้ว
.
และวันนี้เราจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับตำรับ ยารักษาอาการผิดสำแดงที่พ่อเอียะ ใช้ในการรักษาผู้ป่วยอยู่เป็นประจำ
.
ซึ่งตำรับนี้ใช้รักษาอาการผิดสำแดง ที่เกิดมาจากสาเหตุต่างๆกันได้ทุกชนิด
.
ตัวยาประกอบไปด้วย
ขมิ้นต้น , โปร่งฟ้า , กรวยป่า , โสมไทย( ต้นขาไก่ ) , โลดทะนงแดง ฯ
.
โดยวิธีการใช้นั่นก็คือ
นำตัวยาทุกชนิดมาฝนกับหินลับมีด ลงในน้ำเปล่า ในปริมาณ 1/4 ของแก้ว โดยฝน กระทั่งน้ำมีสีขุ่น เหมือนน้ำแป้ง แล้วนำมาดื่ม เมื่อมีอาการ ผิดสำแดง ....
มะนาว
มะนาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus aurantifolia (Christm.) Swingle
ชื่อสามัญ : Common lime
วงศ์ : Rutaceae
ชื่ออื่น : ส้มมะนาว มะลิว (ภาคเหนือ)
ชื่อสามัญ : Common lime
วงศ์ : Rutaceae
ชื่ออื่น : ส้มมะนาว มะลิว (ภาคเหนือ)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 2-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามแหลม เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลปนเทา ใบ เป็นใบประกอบ ออกเรียงสลับ มีใบย่อยใบเดียว รูปไข่หรือรูปรียาว กว้าง 3-5 ซม. ยาว4-8 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมนมีปีกแคบๆ ขอบใบหยัก แผ่นใบมีต่อมน้ำมันกระจายอยู่ตามผิวใบ ดอก ออกเป็นช่อสั้น 5-7 ดอก หรือออกดอกเดี่ยวตามซอกใบ ที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว กลีบดอกมี 4-5 กลีบ หลุดร่วงง่าย ผล รูปทรงกลม ผิวเรียบเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียวเข้ม พอแก่เป็นสีเหลือง ข้างในแบ่งเป็นห้องแบบรัศมี มีรสเปรี้ยว เมล็ดกลมรี สีขาว มี 10-15 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ : น้ำมะนาว (น้ำคั้นจากผล) ราก ใบ ดอก ผล เมล็ด
ส่วนที่ใช้ : น้ำมะนาว (น้ำคั้นจากผล) ราก ใบ ดอก ผล เมล็ด
สรรพคุณ :
น้ำมะนาว - แก้โรคลักปิดลักเปิด (เลือดออกตามไรฟัน) ทำอาหาร ขับเสมหะ ฟอกโลหิต ทำให้ผิวนุ่มนวล แก้ซาง บำรุงเสียง บำรุงโลหิต ขับระดู แก้เล็บขบ แก้ขาลาย จิบแก้ไอ ดับกลิ่นเหล้า ฆ่าพยาธิในท้อง รักษาผม ขับลม รักษาลมพิษ แก้ริดสีดวง แก้ระดูขาว แก้พิษยางน่อง แก้ไข้ แก้ไข้กาฬ แก้ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
ราก - กระทุ้งพิษไข้ ถอนพิษสำแดง แก้สติหลงลืม แก้ไข้ แก้ไข้กาฬ แก้ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ ถอนพิษไข้ กลับไข้ซ้ำ
ใบ - ฟอกโลหิต แก้ตับทรุด
ดอก - แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและปวดท้อง แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน (เกิดจากธาตุไม่ปกติ ) แก้ไอ ขับเสมหะ
ผล - แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและปวดท้อง ทาแก้ผิวแห้งตกสะเก็ด แก้สิวฝ้า แก้ส้นเท้าแตก แก้ไอ รักษาแผลจากแมลงมีพิษ
เมล็ด - แก้พิษตานซาง แก้หายใจขัด แก้ไข้ขับเสมหะ แก้พิษฝีภายใน
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ยาแก้ไอขับเสมหะ
น้ำในผลที่โตเต็มที่ น้ำมะนาว 2-3 ช้อนแกง, เมล็ดมะนาว 10-20 เมล็ด นำน้ำมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย จิบ จะช่วยทำให้เสมหะถูกขับออก และเสียงดี ถ้าเป็นเมล็ดมะนาวนำไปคั่วให้เหลือง บดให้ละเอียด เติมพิมเสน 2-5 เกล็ด ชงน้ำร้อนรับประทาน เป็นยาขับเสมหะ
น้ำในผลที่โตเต็มที่ น้ำมะนาว 2-3 ช้อนแกง, เมล็ดมะนาว 10-20 เมล็ด นำน้ำมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย จิบ จะช่วยทำให้เสมหะถูกขับออก และเสียงดี ถ้าเป็นเมล็ดมะนาวนำไปคั่วให้เหลือง บดให้ละเอียด เติมพิมเสน 2-5 เกล็ด ชงน้ำร้อนรับประทาน เป็นยาขับเสมหะ
ยาป้องกันหรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด)
ใช้น้ำจากผลที่แก่จัดไม่จำกัด เติมเกลือ น้ำตาล น้ำแข็ง ใช้เป็นเครื่องดื่ม หรือจะใส่ในอาหาร ก็ได้ผลเช่นกัน
ใช้น้ำจากผลที่แก่จัดไม่จำกัด เติมเกลือ น้ำตาล น้ำแข็ง ใช้เป็นเครื่องดื่ม หรือจะใส่ในอาหาร ก็ได้ผลเช่นกัน
ยาห้ามเลือด ใส่แผลสด
ใช้น้ำจากผล ครึ่งช้อนชา หรือ 1/4 ช้อนแกง แผลถูกมีดบาด เลือดไม่หยุด บีบน้ำมะนาวลงไป 3-4 หยด เลือดจะหยุด
ใช้น้ำจากผล ครึ่งช้อนชา หรือ 1/4 ช้อนแกง แผลถูกมีดบาด เลือดไม่หยุด บีบน้ำมะนาวลงไป 3-4 หยด เลือดจะหยุด
สารเคมี :
ใบ มี Alcohols, Aldehydes, Elements, Terpenoids, Citral
ผล มี 1 - Alanine, γ - Amino butyric acid, 1 - Glutamic acid
เมล็ด มี Glyceride Oil
น้ำมันหอมระเหย มี P - Dimethyl - a - Styrene, Terpinolene
ใบ มี Alcohols, Aldehydes, Elements, Terpenoids, Citral
ผล มี 1 - Alanine, γ - Amino butyric acid, 1 - Glutamic acid
เมล็ด มี Glyceride Oil
น้ำมันหอมระเหย มี P - Dimethyl - a - Styrene, Terpinolene
หมาก
หมาก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Areca catechu Linn
วงศ์ : PALMAE
ชื่อสามัญ : Betel nut , Areca palm
ชื่อท้องถิ่น : หมากเมีย(ทั่วไป) หมากเมีย มะ(ซอง-ตราด) เค็ด สะลา พลา(เขมร) ปีแน(มลายู)
ลักษณะทางพฤกษ์ศาสตร์
เป็นพืชยืนต้น มีลำต้นตรง ไม่แตกกิ่งก้าน สูง 5-15 เมตร ลำต้นเดี่ยวแข็งแรง ลำต้นมีสีเขียวบริเวณ
ใกล้ส่วนยอด และเมื่ออายุมากขึ้นลำต้นจะเปลี่ยนเป็นสีเทา ใบยาวถึง 4 เมตร และมีใบฝอยหลายใบ
แต่ละใบยาวประมาณ 60-90 ซม. ดอกหมากจะขึ้นที่ซอกโคนก้านใบ ดอกรวมเป็นช่อใหญ่ ดอกมี
สีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอมหวานเย็น ผลมีลักษณะกลมหรือรี ผลอยู่รวมกัน 50-100 ผลใน 1 ทะลาย
ผลอ่อนสีเขียวเรียกว่าหมากดิบ เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลืองเรียกว่าหมากสง
ประโยชน์และสรรพคุณยาไทย:
ลูกอ่อน รสฝาดหวาน เจริญอาหาร ขับเสมหะ สมานแผล แก้เมา แก้อาเจียน แก้ไอเปลือกผลรสจืดหวาน
ขับลม ขับปัสสาวะ แก้ท้องอืดแน่น แก้บิด แก้ท้องเสียเมล็ด รสฝาด แก้บิดปวดเบ่ง แก้ปวดแน่นท้องฆ่าพยาธิ ขับปัสสาวะ
ความเชื่อ:
ปลูกต้นหมากไว้ประจำบ้านจะทำให้มีความอ่อนน้อมความมีน้ำใจ เพราะหมากมีการแตกใบที่สวยงามลักษณะที่มีความนิ่มนวลอ่อนไหว
นอกจากนี้ลักษณะการแตกใบของหมากยังมีลักษณะที่โดดเด่นสง่านวลชวนมองนอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบหมากไว้ว่าเป็นชื่อหมาก
ชนิดหนึ่งที่ใช้รับประทานในสมัยโบราณคือหมากสงใช้ในพิธีต้อนรับแขกที่ไปมาหาสู่กัน ดังนั้นจึงแสดงถึงการมีนิสัยใจคอที่ดี มีน้ำใจงามเพื่อ
เป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นหมากไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ที่ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่า
การปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางใบให้ปลูกในวันอังคาร
โลดทะนงแดง
โลดทะนงแดง
ชื่ออื่นๆ
ข้าวเย็นเนิน (ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์); ดู่เบี้ย ดู่เตี้ย (เพชรบุรี); ทะนง รักทะนง (นครราชสีมา); ทะนงแดง (ประจวบคีรีขันธ์); นางแซง (อุบลราชธานี); โลดทะนงแดง (บุรีรัมย์);หนาดคำ (เหนือ) หัวยาเข้าเย็นเนิน ข้าวเย็นเนิน (ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์)
ชื่อวิทยาศาสตร์
Trigonostemon reidioides (Kurz) Craib
ชื่อพ้อง
ชื่อวงศ์
Euphorbiaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงได้ถึง 1 เมตร มีรากเก็บสะสมอาหารพองโต ผิวสีแดงอมม่วง เนื้อสีขาว ลำต้นเรียวเล็ก ขึ้นเป็นกอ ทุกส่วนของต้นมีขน ลำต้นมีขนสั้นนุ่มหนาแน่น ใบเดี่ยว เรียงสลับ เนื้อใบหนา แผ่นใบรูปขอบขนาน หรือรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 6-10 เซนติเมตร โคนใบมน มีต่อมเล็กๆ 2 ต่อม ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม เห็นเส้นใบย่อยเห็นชัด และมีขนนุ่มหนาแน่นบนผิวใบทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร ช่อดอกแบบกระจะ ดอกสีขาว ชมพู ม่วงเข้มหรือเกือบดำ ออกเป็นช่อตามซอกใบและตามกิ่งก้าน ยาว 7-10 เซนติเมตร ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้มีจำนวนมากกว่าอยู่บริเวณโคนช่อ มีลักษณะตูมกลม ดอกเพศผู้มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ก้านดอกมีขน มีกลีบดอก 5 กลีบ ไม่มีขน มีเกสรเพศผู้ 6 อัน ก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นแท่งเดียว ดอกเพศเมียตูมรูปไข่ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีขน จานฐานดอกล้อมรอบฐานของรังไข่ มีรังไข่เหนือวงกลีบ กลีบดอกสีขาว ผลแห้งแตกได้ รูปค่อนข้างกลม มีขนสั้นนุ่มปกคลุมหนาแน่น แบ่งเป็น 3 พูชัดเจน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 มิลลิเมตร มีก้านสีแดง ยาว 3-5 เซนติเมตร เมล็ดรูปค่อนข้างกลมหรือรูปไข่แกมสามเหลี่ยม ผิวเรียบพบตามป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ออกดอกตลอดปี
สรรพคุณ :
ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ ราก เข้ายากับน้ำมะนาว ฝนกับน้ำดื่ม แก้ผิดสำแดง พิษแมงมุม ทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา เหง้า ฝนทา แก้สิว ฝ้า และฟกช้ำ เคล็ดบวม ราก ผสมกับพญาไฟ และปลาไหลเผือก ฝนน้ำดื่มถอนเมาเหล้า
ยาพื้นบ้าน ใช้ ราก ผสมกับเมล็ดหมาก ฝนน้ำกิน และผสมกับน้ำมะนาว ทาแผลแก้พิษงูชนิดที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ซึ่งควรมีการวิจัยเพิ่มเติม ต้มน้ำดื่ม หรือฝนรับประทาน ทำให้อาเจียนอย่างหนัก ใช้ถอนพิษคนกินยาเบื่อยาเมา หรือฝนน้ำกินช่วยให้เลิกดื่มเหล้า
ตำรายาไทย : ใช้ ราก มีรสร้อน ฝนน้ำกินทำให้อาเจียน เพื่อถอนพิษคนกินยาเบื่อ เมาพิษเห็ดและหอย แก้พิษงู แก้เสมหะเป็นพิษ (เสมหะหรืออุจาระเป็นมูกเลือด) แก้หืด แก้วัณโรค เป็นยาระบาย ฝนเกลื่อนฝี หรือดูดหนองถ้าฝีแตก แก้ฟกช้ำ เคล็ดบวม แก้ปวดฝี คุมกำเนิด ต้มดื่ม แก้วัณโรค ฝนกับน้ำมะนาว หรือสุรา รับประทานแก้พิษงู ฝนทาแก้ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก
ว่านช้างผสมโขลง (พระยาเทครัว)
ว่านช้างผสมโขลง (พระยาเทครัว)
รายละเอียด
ลักษณะ : หัวเหมือนหน่อไม้เมื่อแรกแทงหน่อ แต่มีการหุ้มแบบหน่อไม้ หัวเหมือนหัวหอมมีสีเขียวสด ใบมีสีเขียน ยาวเรียวดั่งในแขวกน้ำหรือในว่านน้ำแต่ขนาดเล็กกว่า มองดูดคล้ายกับใบข้าว กาบแต่ละใบจะหลุดไปเมื่อว่านขยายตัวเต็มที่และได้ฤดูออกดอก ดอกสีเขียวแก่ปากดอกมีหยักตั้งขึ้น เล็กน้อยเป็นสีขาวสลับด้วยลายสีม่วงเป็นขีด ๆ ก้านช่อดอกจะตั้งตรง ช่อหนึ่งมีหลายดอกแต่ละดอกจะบานจากกล่างขึ้นบน ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ ซึ่งหน่อจะแทงออกมาตามข้อ
ประโยชน์ : ด้านเมตตามหานิยม เข้าสมาคมได้ทุกแห่ง เกิดความดีมีชัยชนะทำค้าขายได้ลาภผลสมปรารถนา หากประสงค์จะให้เกิดเสน่ห์ทางชู้สาวให้เขียนชื่อผู้ที่เราหลงรักเรายิ่งนักแล (พระอาจารย์ท่านสาปแช่งไว้แรงนักหนา สำหรับผู้คิดมิชอบ ได้เขามาแล้วมิเลี้ยงดูจะมีอันเป็นไปทันตาเห็น) สรรพคุณทางยา หากตำให้ละเอียดผสมกับน้ำปูนใสหรือน้ำซาวข้าว พวกฝีหัวเดียวชะงัดยิ่งนัก ท่านหญิงที่เป็นฝีที่หัวนม จะสามารถใช้ว่านนี้ได้เป็นอย่าดี
วิธีปลูก : แยกหน่อปลูก คล้าย ๆ กล้วยไม้สกุลหวาย โดยแยกหน่อท้ายสุดนำไปปลูก หากระถางดินขนาดใหญ่กว่าหัวว่านสักสามเท่านำทราย,ถ่าน, ใบไม้ผุ ,อิฐ หินละเอียดใส่ลงไปครึ่งกระถางแล้วนำหัวว่านวางลง โดยทรายรอบ ๆ หัวว่านพอตั้งอยู่ได้ระวังอย่าให้น้ำขังแฉะ วางไว้ในที่ร่มรำไรว่านจะงอกงามดี
หรือ...................................................
ว่านช้างผสมโขลง (พญาเทครัว)
ลักษณะ :ต้นว่านเป็นหัวเหมือนดั่งหน่อไม้แรกแทงหน่อ
แต่ไม่มีก้านหุ้มแบบหน่อไม้ หัวเหมือนหัวหอม สีของหัว
มีสีเขียวสด ใบมีสีเขียวอ่อน ยาวเรียวดั่งใบแขวกน้ำหรือ
ใบว่านน้ำ มีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย มองดูก็คล้ายกับใบข้าว
กาบใบแต่ละใบจะหลุดหล่นไปเมื่อว่านขยายตัวเต็มที่ และได้
ฤดูออกดอก ดอกจะมีสีเขียวแก่ ปากดอกมีหยักตั้งขึ้น
เล็กน้อย เป็นสีขาวสลับด้วยลายสีม่วงเป็นขีดๆ ก้านช่อดอก
ตั้งตรง ช่อหนึ่งมีหลายดอก และแต่ละดอกจะบานจากล่าง
ไปหาบนตามลำดับ การขยายพันธุ์ กระทำโดยการแยกหน่อ
ไปปลูก ซึ่งหน่อนี้จะแทงออกตามข้อของหัวว่านด้วยการ
แตกตัวไปทางข้างๆ
ความเชื่อ: ชิ้นว่านหรือหัวว่าน ใช้ติดตัวเป็นเสน่ห์เมตตา
มหานิยม เข้าสมาคมได้ทุกหนทุกแห่ง และจะไปทำ
กิจกรรมใดๆ ก็มักจะได้รับผลสำเร็จ เกิดความดี มีชัยชนะ
ทุกสถานทำมาค้าขายได้ลาภผลสมดังปรารถนาแล
หากจะทำให้เกิดเสน่ห์ทางนักเลงชู้สาว ท่านให้เขียนชื่อของ
ผู้ที่เราจะไปติดต่อลงในชิ้นว่าน แล้วเอามาตำให้ละเอียด
โรยใส่ให้ผู้นั้นกิน จะทำให้หลงรักยิ่งนักแล
แต่อาจารย์ท่านสาปแช่งไว้แรงนักหนาสำหรับผู้ที่คิดทุจริต
มิชอบมิควร หรือได้เข้ามามิเลี้ยงดู จักมีอันเป็นไปทันตาเห็น
ชิ้นว่านนี้หากตำให้ละเอียดแล้วละลายผงว่านลงไปในตุ่มน้ำ
บ้านใดบ้านหนึ่ง ท่านว่าคนทั้งบ้านจะชอบใจและรักเราทั้ง
บ้าน ทำการทั้งหลายเอาใจเรายิ่งนัก จงสังเกตก่อนที่จะโรย
ผงว่านและหลังจากโรยแล้วคนที่มิชอบก็จะนอบน้อมมาสู่เรา
แต่พระอาจารย์เจ้าท่านให้เขียนชื่อตัวเราลงไปในชิ้นว่าน
และจึงจะกระทำการหากมีใจสุจริตจะเกิดผลทันตา
ถ้าปลูกว่านนี้ไว้ในบ้าน จะเป็นมหานิยมต่อครอบครัวผู้นั้น
ถ้าว่านออกดอกเมื่อใดจะเกิดลาภผลมาสู่ตนเองและครอบครัว
เนื่องจากเป็นว่านเสี่ยงทายชนิดหนึ่ง พึ่งอธิษฐานเอาตามใจ
ชอบเถิด สมปรารถนาเมื่อใดอย่าลืมแก้บนตามที่กล่าวไว้
หากบ้านใดปลูกไว้ในบ้านจะไปอยู่ ณ ที่ใด เพื่อนบ้านก็จะ
ไปมาหาสู่เสมอทั้งช่วยดูแลสารทุกข์สุกดิบมิให้อนาทรร้อน
ใจเลย
สรรพคุณทางยา: หัวว่านหรือชิ้นว่านหากตำให้ละเอียดแล้ว
ผสมกับน้ำปูนใส หรือน้ำซาวเข้าพอกฝีหัวเดียวชะงัดยิ่งนัก
หญิงใดเป็นฝีที่นมทั้งสองข้าง หากใช้ว่านนี้พอกไว้ฝีจะแห้ง
เหือดในไม่ช้า และใช้แก้ฝีได้ทุกชนิด ใช้รักษาแผลเน่าที่เกิดจากการโดนงูกัด หรือแผลเน่าจากอาการต่างๆ
วิธีการปลูก: ใช้หน่อแยกปลูก โดยดึงหน่อให้แยกจากต้นเดิม
แล้วหากกระถางดินขนาดใหญ่กว่าหัวว่านสามเท่า
เอาดินร่วนปนทรายหรือปนหินเล็กๆ อิฐหักๆก็ได้ใส่ลงไป
เล็กน้อย เอามือรวบรากว่านใส่ลงไปในกระถางให้ลงลึกๆ
แล้วเอาดินที่เตรียมไว้กลบรากให้มิด แต่อย่าให้หน่อว่านฝัง
ลงไปในดินมากนัก ว่านจะเจริญงอกงามดี รดน้ำอย่าให้แฉะ
ให้อยู่ในที่ร่มรำไร เลี้ยงง่ายมาก และเจริญรวดเร็วยิ่งนัก
หากจะนำมาไว้ในห้องรับแขกหรือในห้องพระฤาห้องนอนก็
ได้ เมื่อเวลาใบงอกเต็มที่จะดูงามตา
ว่านชนิดนี้ใบจะเรียงขึ้นเป็นชั้นๆปลายใบเรียวโค้งลงนิดๆ
สีเขียวอ่อนของใบจะตัดกับสีของหัวว่านน่าชมยิ่ง
ใช้เป็นเครื่องประดับได้อย่างดีชนิดหนึ่ง และว่านนี้มีความ
ทรหดเป็นอย่างยิ่ง ทนต่อความแห้งแล้งแม้จะตั้งไว้เฉยๆ
ก็สามารถจะอยู่ได้อย่างสบาย
โรคผิดสำแดง หรือเตือฮ(ภาษาเขมรสุรินทร์)
หากพูดถึงโรคท้องถิ่นคงมีชื่อโรคผิดสำแดง(เตือฮ)อยู่ในลำดับต้น ๆ ของโรคในชุมชน จากการเวทีประชาคมเรื่องโรคท้องถิ่นได้ข้อมูลจากชุมชนในตำบลท่าสว่าง ตำบลบุฤาษี อ.เมือง ตำบลตาเบา อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ โรคผิดสำแดงนี้เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับหญิงที่มีลูกแล้วเป็นส่วนมาก เนื่องด้วยสภาพร่างกายที่ต้องใช้งานหนักในขณะคลอดลูก การเสียเลือดมากและระบบกล้ามเนื้อมีการบิดเกร็งอย่างมาก ทำให้ร่างกายมีความเปราะบางและอ่อนไหวต่อการรับรู้สภาพของการเปลี่ยนแปลงทั้งทางตรงและทางอ้อม
นอกจากกลุ่มอาการผิดสำแดงที่เกิดขึ้นบ่อยกับคนในท้องถิ่นแล้ว ตำรับยารักษาจึงมีอยู่อย่างหลากหลายในท้องถิ่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นยากลางบ้านสำหรับผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วต้องรู้ไว้ เพื่อช่วยดูแลรักษาในขั้นต้น เป็นความรู้ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น หากมีอาการเรื้อรังจึงจะต้องถึงมือหมอพื้นบ้านที่มีความเชี่ยวชาญ
ส่วนสมุนไพรที่ประกอบเป็นยารักษาโรคผิดสำแดง ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่หาได้ง่าย ไม่ว่าหน้าบ้านหลัง หัวไร่ปลายนาหรือป่าชุมชน จึงจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของการบำบัดรักษาโรคผิดสำแดง ยังมีฐานความรู้ มีการใช้ประโยชน์และมีฐานทรัพยากร
อาการผิดสำแดง เช่น เตือฮจำแน็ย (ผิดสำแดงอาหาร,กินผิด) จะมีอาการ ปวดหัวอาเจียน เป็นไข้ วิงเวียนศรีษะ หนาวสั่น (เมื่อกินอาหารเข้าไปประมาณ 30 นาทีจะแสดงอาการข้างต้นแล้วแต่บุคคล) จะมีอาการเจ็บหน้าอก ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ อาเจียน ขากรรไกรแข็ง ลิ้นแข็ง ท้องเสีย
นอกจากกลุ่มอาการผิดสำแดงที่เกิดขึ้นบ่อยกับคนในท้องถิ่นแล้ว ตำรับยารักษาจึงมีอยู่อย่างหลากหลายในท้องถิ่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นยากลางบ้านสำหรับผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วต้องรู้ไว้ เพื่อช่วยดูแลรักษาในขั้นต้น เป็นความรู้ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น หากมีอาการเรื้อรังจึงจะต้องถึงมือหมอพื้นบ้านที่มีความเชี่ยวชาญ
ส่วนสมุนไพรที่ประกอบเป็นยารักษาโรคผิดสำแดง ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่หาได้ง่าย ไม่ว่าหน้าบ้านหลัง หัวไร่ปลายนาหรือป่าชุมชน จึงจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของการบำบัดรักษาโรคผิดสำแดง ยังมีฐานความรู้ มีการใช้ประโยชน์และมีฐานทรัพยากร
อาการผิดสำแดง เช่น เตือฮจำแน็ย (ผิดสำแดงอาหาร,กินผิด) จะมีอาการ ปวดหัวอาเจียน เป็นไข้ วิงเวียนศรีษะ หนาวสั่น (เมื่อกินอาหารเข้าไปประมาณ 30 นาทีจะแสดงอาการข้างต้นแล้วแต่บุคคล) จะมีอาการเจ็บหน้าอก ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ อาเจียน ขากรรไกรแข็ง ลิ้นแข็ง ท้องเสีย
ตัวยาสมุนไพรที่ใช้นั้น ขอนำเสนอเป็นวิทยาทานให้กับผู้สนใจ หากนำไปใช้แล้วเกิดประโยชน์ก็ขอให้นึกถึงคุณค่าของพ่อหมอผู้เป็นเจ้าของตำรับยาด้วย
ตำรับของพ่อเอี๊ยะ สายกระสุน ,พ่อน้อย มณีอ่อน
1. กันตรุม เขมร (บักกันจั่ว -ลาว/ครอบจักรวาล)
2. นาดกัว (หญ้าพันงูขาว/บักควยงู-ลาว)
วิธีใช้ ต้มดื่มจนกว่ายาจะจืด
Cr. http://www.thaihof.org/knowledge/article/detail/2037
1. กันตรุม เขมร (บักกันจั่ว -ลาว/ครอบจักรวาล)
2. นาดกัว (หญ้าพันงูขาว/บักควยงู-ลาว)
วิธีใช้ ต้มดื่มจนกว่ายาจะจืด
Cr. http://www.thaihof.org/knowledge/article/detail/2037
นายเอี๊ยะ สายกระสุน ปราชญ์ชาวบ้านด้าน การแพทย์แผนไทย
สาขาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร
ปราชญ์ชาวบ้านสาขาการแพทย์แผนไทย และสมุนไพร
การดูแลรักษาสุขภาพของมนุษย์มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล มนุษย์ในแต่ละสังคมต่างก็มีวิธีการดูแลสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยวิธีการต่าง ๆ ออกไป ทั้งนี้ขึ้นกับบริบทของชุมชน ระบบความเชื่อ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ที่มีลักษณะเฉพาะถิ่น สภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและระบบการแพทย์ กระแสหลักทำให้ประชาชนทั้ง ในเมืองและชนบทมีการพึ่งพิงระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบการแพทย์กระแสหลักเป็นส่วนใหญ่ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีลักษณะความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะลักษณะวัฒนธรรมไทย-เขมร ที่มีการดูแลสุขภาพที่แตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและควรที่จะได้มีการศึกษารวบรวมองค์ความรู้อันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้เพราะนับวันภูมิปัญญาเหล่านี้จะลดน้อยลงไปทุกขณะ
ดังนั้นจึงได้มีการศึกษาและรวบรวมภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านการดูแลสุขภาพในเบื้องต้นต่อไป
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ – สกุล นายเอี๊ยะ สายกระสุน เกิดใน ปีพ.ศ.๒๔๙๔ ที่บ้านทวารไพร ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๖๑ หมู่ ๒ บ้านท่าสว่าง ตำบลบักได
กิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียน บ้านรุน
มีบุตร ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓ คน ประกอบอาชีพรับจ้าง
วิธีการเรียนรู้ภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจในการเป็นหมอพื้นบ้าน
สาเหตุที่สนใจเรียนการรักษาแผลงูพิษกัด เกิดจากในขณะอยู่ในวัยรุ่น ได้ออกไปหาปู หากบ กับน้องสาวซึ่งมีอายุ ๑๒ ปี น้องสาวได้ถูกงูเห่ากัดที่มือ พ่อได้พาไปรักษากับหมอพื้นบ้าน ที่บ้านท่าสว่าง ตำบลบักได หมอพื้นบ้านได้ให้ยากินผสมเหล้าและเป่ารักษาอยู่ได้ ๗ วัน น้องสาวก็เสียชีวิต “ก่อนที่ผมจะเป็นหมองู น้องสาวของผมถูกงูเห่ากัดหลายวันจึงเสียชีวิต ตอนนั้นไม่มีรถยนต์สำหรับการเดินทาง ต้องปล่อยให้น้องสาวนอนตายไปทีละน้อยจนตายทั้งตัว ในความรู้สึกขณะนั้นผมรู้สึกว่าทำไมผมจึงไม่สามารถช่วยเหลือน้องสาวได้” จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รู้สึกว่าไม่มีหมอยาพื้นบ้านที่เก่งและช่วยรักษาผู้ถูกงูกัดได้ นายเอี๊ยะ สายกระสุน จึงได้เสาะหาหมอที่คิดว่ารักษาแผลงูพิษกัดได้ “ผมจึงเริ่มหาวิชาที่เกี่ยวกับการรักษาแผลงูพิษกัด ผมไปถามที่บ้านเกิด และไปที่อำเภอท่าตูม ญาติบอกว่าลุงเขยมียาสมุนไพรและเป็นหมอยารักษาแผลงูพิษกัด แต่ทุกวันนี้ลุงไปอยู่ที่พิจิตร ถ้าอยากเรียนให้ลงไปเรียนที่พิจิตร” ด้วยความอยากเรียน นายเอี๊ยะ
สายกระสุน จึงได้เดินทางไปที่จังหวัดพิจิตรไปหาหมอขวัญ เชียงคำ ซึ่งเป็นลุงเขย (ลุงเรียนมาจากเขมร) นายเอี๊ยะ สายกระสุน จึงตามไปขอเรียนจนกระทั่งได้รู้จักยาและวิธีการรักษา


การรักษาผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลพนมดงรัก
ในการเรียนวิชาครั้งนั้นมีพิธีการมอบตัวเป็นศิษย์โดยจะต้องมี อุปกรณ์ คือ ผ้าขาว ๑ ผืน ขันธ์ ๕ ดอกไม้ ธูปเทียน และเงิน ๔ บาท การรักษาครั้งแรกเมื่ออายุ ๒๑ ปี ผู้ป่วยถูกงูเห่ากัดมา ๓ วัน ไปรักษาที่โรงพยาบาลแต่อาการไม่ดีขึ้น ญาติของผู้ป่วยจึงขออนุญาตหมอนำผู้ป่วยกลับบ้านโดยบอกว่าจะกลับมาตายบ้าน จากนั้นได้นำมาหานายเอี๊ยะ สายกระสุน โดยบอกว่า “ไหน ๆ ก็จะตายอยู่แล้วก็ลองมาให้รักษาดู” นายเอี๊ยะ สายกระสุน เองก็ไม่แน่ใจในการรักษาครั้งแรกเท่าไหร่นักดังที่บอกว่า “ผมก็ไม่แน่ใจในการรักษาของผม เพราะเป็นรายแรก แต่ญาติเขาขอให้ผมรักษา ผมจึงลองรักษาดู ซึ่งขณะนั้นคนไข้ไม่มีสติคางแข็งต้องเอาช้อนงัดปากกรอกยา ต่อมาซักครึ่งชั่วโมงเขาก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นแล้วบอกว่าหิวข้าว จึงให้ญาติหาข้าวปลาให้กิน หลังจากนั้นเขาก็หายเป็นปกติ” นายเอี๊ยะ สายกระสุน บอกว่าคนไข้คนแรกคนนี้ในปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่
แนวความคิด
นายเอี๊ยะ มีแนวคิดในการดำรงชีวิตเป็นหมอพื้นบ้านคือ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวง ไม่ปฏิเสธในการไปช่วยรักษาคนไข้แม้จะดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่เคยปฏิเสธ ผู้ที่มาหาล้วนเดือดร้อน จึงต้องช่วยเต็มที่ การดำรงชีวิตนั้นยึดหลักใช้กินเท่าที่มีไม่พยายามมีหนี้สิน
ความสามารถเฉพาะ
นายเอี๊ยะ สายกระสุน มีความสามารถในการรักษาแผลงูพิษกัดและสัตว์พิษกัด โดยมีรายละเอียด ที่สามารถสรุปได้ดังนี้
๑. อธิบายลักษณะแผลงูพิษกัดและสัตว์พิษกัดแต่ละชนิดได้อย่างชัดเจน
๒. อธิบายลักษณะอาการของผู้ที่ถูกงูพิษกัดและรักษาผู้ถูกงูพิษกัดได้
๓. บอกอาการและรักษาผู้ที่ถูกแมงมุมกัด อธิบายและรักษาอาการผู้ที่ถูกตะขาบและ
แมงป่องต่อย ถูกเงี่ยงปลาดุกตำ
ในด้านจำนวนผู้มารับการรักษา นายเอี๊ยะ สายกระสุน บอกว่าในแต่ละปีมีไม่ต่ำกว่า
๖๐-๗๐ คน ส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ มีบางส่วนมาจากต่างอำเภอ เช่นอำเภอจอมพระ ที่มาจากต่างจังหวัด เช่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา ความถี่ของคนไข้ที่มารับการรักษา ช่วงหน้าฝนพบมาก เพราะชาวบ้านต้องออกกรีดยาง ออกหาอาหารในเวลากลางคืน
วิธีการรักษา
๑. นำรากโลดทะนงแดงมาฝนกับหมากสุกบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อยใช้น้ำสะอาดเป็น
กระสายยา ฝนยาจนกระทั่งน้ำเป็นสีขาวขุ่น ใช้ประมาณ 1 แก้ว
๒. ให้ผู้ที่ถูกงูพิษ/สัตว์พิษกัดดื่มยา รอสักครู่ประมาณ ๓-๕ นาที จะอาเจียนออกมาจากนั้นอีก ๓๐ นาทีให้ดื่มซ้ำอีก
๓. ในขณะเดียวกัน ก็ใช้รากโลดทะนงแดงฝนกับหมากแห้งและบีบมะนาวเป็นกระสายยา ปิดแผลบริเวณที่ถูกงูกัด โดยทาซ้ำไปเรื่อย ๆ ทุก ๒ ชั่วโมง
๔. กรณีที่มีรอยไหม้ แผลเน่าให้ใช้ว่านอึ่งทุบปิดแผลร่วมด้วย จะช่วยให้อาการดีขึ้น การรักษาไม่มีคาถากำกับ


การฝนยาและตัวยารักษาผู้บาดเจ็บ
การปฏิบัติตัวคนไข้ ห้ามกินเหล้าช่วงรักษา
ความสามารถด้านการรักษาโรคอื่น ๆ นอกจากการรักษาแผลงูพิษกัดแล้ว นายเอี๊ยะยังมีความรู้เรื่องการรักษาโรคริดสีดวง รักษาไข้ทับฤดู
ทรัพยากรที่ใช้
ในการรักษาผู้ที่ถูกสัตว์พิษและแผลงูพิษกัดนั้นมีการนำสมุนไพรมาใช้ คือ รากโลดทะนงแดง หรือพระเจ้าปลูกหลง (ภาษาลาว) หรือปะเตียลกะรัญ (เมล็ดหมากสุก) และมะนาว


สมุนไพรโลดทะนงแดงและส่วนประกอบที่เป็นยารักษา
วิธีการถ่ายทอดภูมิปัญญา
นายเอี๊ยะ สายกระสุนได้อธิบายว่า มีผู้มาขอเรียนการรักษาสัตว์พิษและงูพิษกัด โดยต้องตั้งครูเป็นเงิน ๑๒ บาท พร้อม ดอกไม้ ธูปเทียน ขันธ์ ๕ จากนั้นจึงจะสอนให้
ในการคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นลูกศิษย์ จะใช้หลักการพิจารณาดูภูมิหลังและประวัติความเป็นมา ต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และต้องมีความเสียสละ
สิ่งที่ทำให้ภูมิปัญญาคงอยู่
การที่ภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านยังคงอยู่ นั้นเนื่องจาก
๑. โรค/อาการบางชนิด เช่นการถูกงูพิษกัด ถ้าไม่รู้ว่าถูกอะไรกัดการรักษาแผนปัจจุบันต้องรอสังเกตอาการขณะที่หากใช้สมุนไพรสามารถใช้ได้ทันทีช่วยให้คนไข้ไม่ต้องทรมานจากการเจ็บปวด และไม่มีอาการข้างเคียงจากการเกิดแผลเน่าเปื่อย ทำให้ประชาชนยังนิยมใช้การรักษาแบบพื้นบ้านด้วย
๒. การที่หมอพื้นบ้านมีความเป็นกันเองผู้ป่วยและญาติสามารถพูดคุยซักถามได้โดยสะดวก

การประชุมหมอยาพื้นบ้านที่โรงพยาบาลพนมดงรัก
ผลงานที่ผ่านมา
การเป็นหมอพื้นบ้านของนายเอี๊ยะ สายกระสุน สามารถสรุปผลงานต่างๆที่ผ่านมาได้ดังนี้
๑. เป็นหมอพื้นบ้านที่ช่วยรักษาผู้ถูกสัตว์มีพิษและงูพิษกัดมาเป็นระยะเวลามากกว่า ๒๐ ปีจนกระทั่งได้รับการยอมรับและมีการนำสูตรตำรับยามาใช้ที่โรงพยาบาลกาบเชิง ที่สถานีอนามัยในเขตอำเภอพนมดงรัก และได้ร่วมในการรักษาผู้ที่ถูกงูพิษ สัตว์พิษกัดที่โรงพยาบาลพนมดงรัก โดยนายเอี๊ยะ บอกว่าการได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรักนั้นดี เพราะมีหมอที่โรงพยาบาลช่วยดูแลคนไข้ด้วย นายเอี๊ยะ บอกว่าสิ่งที่ตนเองภาคภูมิใจมากที่สุด คือ การที่โรงพยาบาลให้ตนเองได้ไปรักษาคนไข้ถูกงูกัดที่โรงพยาบาล ทำให้ตนรู้สึกว่ามีความสำคัญ ทางโรงพยาบาลยอมรับในความสามารถของตน “ก็พอมีรายได้จากที่ไปรักษาที่โรงพยาบาล ช่วยผมได้เยอะ” “ผมภูมิใจที่สุดที่หมอให้ผมไปช่วยรักษาที่โรงพยาบาล ทำให้คนรู้จักผมมากขึ้น”
๒. เป็นครูภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์
จากการรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านโดยการใช้สมุนไพรนั้นแสดงให้เห็นถึงคุณค่าขององค์ความรู้ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวสุรินทร์ ซึ่งยังคงมีบทบาทในการรักษาและคาดว่าภูมิปัญญาเหล่านี้จะยังคงอยู่ แต่อาจมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงในรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของการเจ็บป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป
การที่ภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านยังคงอยู่นั้นมีปัจจัยต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น การรักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วยบางชนิดที่ทางแผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาได้ ขณะที่หมอพื้นบ้านผู้รักษามีจิตใจที่มีความเสียสละ มีคุณธรรมและยินดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทนการที่ประชาชนมีความศรัทธาและความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน ที่หมอพื้นบ้านมีความเป็นกันเองผู้ป่วยและญาติสามารถพูดคุยซักถามได้โดยสะดวก นอกจากนี้ในแต่ละพื้นที่ที่มีบริบทต่างกันล้วนมีองค์ประกอบที่ทำให้หมอพื้นบ้านยังคงเป็นที่พึ่งของประชาชนในชนบทได้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาที่นับวันจะลดน้อยและหายากมากขึ้นทุกขณะ เราจึงควรที่จะต้องร่วมกันรณรงค์ให้เกิดการอนุรักษ์รักษาป่าและสมุนไพรในท้องถิ่นและส่งเสริมเยาวชนรุ่นหลังได้เกิดความภูมิใจในองค์ความรู้ของภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการรักษาผู้ที่เจ็บป่วยและทำให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถพึ่งพิงตนเองในการ ดูแลสุขภาพในเบื้องต้นได้
Cr. http://www.surinpao.org/index.php?action=read&mod=menu&Id=53#.Vdn1AvntlBd
การดูแลรักษาสุขภาพของมนุษย์มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล มนุษย์ในแต่ละสังคมต่างก็มีวิธีการดูแลสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยวิธีการต่าง ๆ ออกไป ทั้งนี้ขึ้นกับบริบทของชุมชน ระบบความเชื่อ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ที่มีลักษณะเฉพาะถิ่น สภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและระบบการแพทย์ กระแสหลักทำให้ประชาชนทั้ง ในเมืองและชนบทมีการพึ่งพิงระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบการแพทย์กระแสหลักเป็นส่วนใหญ่ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีลักษณะความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะลักษณะวัฒนธรรมไทย-เขมร ที่มีการดูแลสุขภาพที่แตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและควรที่จะได้มีการศึกษารวบรวมองค์ความรู้อันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้เพราะนับวันภูมิปัญญาเหล่านี้จะลดน้อยลงไปทุกขณะ
ดังนั้นจึงได้มีการศึกษาและรวบรวมภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านการดูแลสุขภาพในเบื้องต้นต่อไป
นายเอี๊ยะ สายกระสุน ปราชญ์ชาวบ้านด้าน การแพทย์แผนไทย
ชื่อ – สกุล นายเอี๊ยะ สายกระสุน เกิดใน ปีพ.ศ.๒๔๙๔ ที่บ้านทวารไพร ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๖๑ หมู่ ๒ บ้านท่าสว่าง ตำบลบักได
กิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียน บ้านรุน
มีบุตร ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓ คน ประกอบอาชีพรับจ้าง
วิธีการเรียนรู้ภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจในการเป็นหมอพื้นบ้าน
สาเหตุที่สนใจเรียนการรักษาแผลงูพิษกัด เกิดจากในขณะอยู่ในวัยรุ่น ได้ออกไปหาปู หากบ กับน้องสาวซึ่งมีอายุ ๑๒ ปี น้องสาวได้ถูกงูเห่ากัดที่มือ พ่อได้พาไปรักษากับหมอพื้นบ้าน ที่บ้านท่าสว่าง ตำบลบักได หมอพื้นบ้านได้ให้ยากินผสมเหล้าและเป่ารักษาอยู่ได้ ๗ วัน น้องสาวก็เสียชีวิต “ก่อนที่ผมจะเป็นหมองู น้องสาวของผมถูกงูเห่ากัดหลายวันจึงเสียชีวิต ตอนนั้นไม่มีรถยนต์สำหรับการเดินทาง ต้องปล่อยให้น้องสาวนอนตายไปทีละน้อยจนตายทั้งตัว ในความรู้สึกขณะนั้นผมรู้สึกว่าทำไมผมจึงไม่สามารถช่วยเหลือน้องสาวได้” จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รู้สึกว่าไม่มีหมอยาพื้นบ้านที่เก่งและช่วยรักษาผู้ถูกงูกัดได้ นายเอี๊ยะ สายกระสุน จึงได้เสาะหาหมอที่คิดว่ารักษาแผลงูพิษกัดได้ “ผมจึงเริ่มหาวิชาที่เกี่ยวกับการรักษาแผลงูพิษกัด ผมไปถามที่บ้านเกิด และไปที่อำเภอท่าตูม ญาติบอกว่าลุงเขยมียาสมุนไพรและเป็นหมอยารักษาแผลงูพิษกัด แต่ทุกวันนี้ลุงไปอยู่ที่พิจิตร ถ้าอยากเรียนให้ลงไปเรียนที่พิจิตร” ด้วยความอยากเรียน นายเอี๊ยะ
สายกระสุน จึงได้เดินทางไปที่จังหวัดพิจิตรไปหาหมอขวัญ เชียงคำ ซึ่งเป็นลุงเขย (ลุงเรียนมาจากเขมร) นายเอี๊ยะ สายกระสุน จึงตามไปขอเรียนจนกระทั่งได้รู้จักยาและวิธีการรักษา
การรักษาผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลพนมดงรัก
แนวความคิด
นายเอี๊ยะ มีแนวคิดในการดำรงชีวิตเป็นหมอพื้นบ้านคือ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวง ไม่ปฏิเสธในการไปช่วยรักษาคนไข้แม้จะดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่เคยปฏิเสธ ผู้ที่มาหาล้วนเดือดร้อน จึงต้องช่วยเต็มที่ การดำรงชีวิตนั้นยึดหลักใช้กินเท่าที่มีไม่พยายามมีหนี้สิน
ความสามารถเฉพาะ
นายเอี๊ยะ สายกระสุน มีความสามารถในการรักษาแผลงูพิษกัดและสัตว์พิษกัด โดยมีรายละเอียด ที่สามารถสรุปได้ดังนี้
๑. อธิบายลักษณะแผลงูพิษกัดและสัตว์พิษกัดแต่ละชนิดได้อย่างชัดเจน
๒. อธิบายลักษณะอาการของผู้ที่ถูกงูพิษกัดและรักษาผู้ถูกงูพิษกัดได้
๓. บอกอาการและรักษาผู้ที่ถูกแมงมุมกัด อธิบายและรักษาอาการผู้ที่ถูกตะขาบและ
แมงป่องต่อย ถูกเงี่ยงปลาดุกตำ
ในด้านจำนวนผู้มารับการรักษา นายเอี๊ยะ สายกระสุน บอกว่าในแต่ละปีมีไม่ต่ำกว่า
๖๐-๗๐ คน ส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ มีบางส่วนมาจากต่างอำเภอ เช่นอำเภอจอมพระ ที่มาจากต่างจังหวัด เช่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา ความถี่ของคนไข้ที่มารับการรักษา ช่วงหน้าฝนพบมาก เพราะชาวบ้านต้องออกกรีดยาง ออกหาอาหารในเวลากลางคืน
วิธีการรักษา
๑. นำรากโลดทะนงแดงมาฝนกับหมากสุกบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อยใช้น้ำสะอาดเป็น
กระสายยา ฝนยาจนกระทั่งน้ำเป็นสีขาวขุ่น ใช้ประมาณ 1 แก้ว
๒. ให้ผู้ที่ถูกงูพิษ/สัตว์พิษกัดดื่มยา รอสักครู่ประมาณ ๓-๕ นาที จะอาเจียนออกมาจากนั้นอีก ๓๐ นาทีให้ดื่มซ้ำอีก
๓. ในขณะเดียวกัน ก็ใช้รากโลดทะนงแดงฝนกับหมากแห้งและบีบมะนาวเป็นกระสายยา ปิดแผลบริเวณที่ถูกงูกัด โดยทาซ้ำไปเรื่อย ๆ ทุก ๒ ชั่วโมง
๔. กรณีที่มีรอยไหม้ แผลเน่าให้ใช้ว่านอึ่งทุบปิดแผลร่วมด้วย จะช่วยให้อาการดีขึ้น การรักษาไม่มีคาถากำกับ
การฝนยาและตัวยารักษาผู้บาดเจ็บ
ความสามารถด้านการรักษาโรคอื่น ๆ นอกจากการรักษาแผลงูพิษกัดแล้ว นายเอี๊ยะยังมีความรู้เรื่องการรักษาโรคริดสีดวง รักษาไข้ทับฤดู
ทรัพยากรที่ใช้
ในการรักษาผู้ที่ถูกสัตว์พิษและแผลงูพิษกัดนั้นมีการนำสมุนไพรมาใช้ คือ รากโลดทะนงแดง หรือพระเจ้าปลูกหลง (ภาษาลาว) หรือปะเตียลกะรัญ (เมล็ดหมากสุก) และมะนาว
สมุนไพรโลดทะนงแดงและส่วนประกอบที่เป็นยารักษา
นายเอี๊ยะ สายกระสุนได้อธิบายว่า มีผู้มาขอเรียนการรักษาสัตว์พิษและงูพิษกัด โดยต้องตั้งครูเป็นเงิน ๑๒ บาท พร้อม ดอกไม้ ธูปเทียน ขันธ์ ๕ จากนั้นจึงจะสอนให้
ในการคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นลูกศิษย์ จะใช้หลักการพิจารณาดูภูมิหลังและประวัติความเป็นมา ต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และต้องมีความเสียสละ
สิ่งที่ทำให้ภูมิปัญญาคงอยู่
การที่ภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านยังคงอยู่ นั้นเนื่องจาก
๑. โรค/อาการบางชนิด เช่นการถูกงูพิษกัด ถ้าไม่รู้ว่าถูกอะไรกัดการรักษาแผนปัจจุบันต้องรอสังเกตอาการขณะที่หากใช้สมุนไพรสามารถใช้ได้ทันทีช่วยให้คนไข้ไม่ต้องทรมานจากการเจ็บปวด และไม่มีอาการข้างเคียงจากการเกิดแผลเน่าเปื่อย ทำให้ประชาชนยังนิยมใช้การรักษาแบบพื้นบ้านด้วย
๒. การที่หมอพื้นบ้านมีความเป็นกันเองผู้ป่วยและญาติสามารถพูดคุยซักถามได้โดยสะดวก
การประชุมหมอยาพื้นบ้านที่โรงพยาบาลพนมดงรัก
การเป็นหมอพื้นบ้านของนายเอี๊ยะ สายกระสุน สามารถสรุปผลงานต่างๆที่ผ่านมาได้ดังนี้
๑. เป็นหมอพื้นบ้านที่ช่วยรักษาผู้ถูกสัตว์มีพิษและงูพิษกัดมาเป็นระยะเวลามากกว่า ๒๐ ปีจนกระทั่งได้รับการยอมรับและมีการนำสูตรตำรับยามาใช้ที่โรงพยาบาลกาบเชิง ที่สถานีอนามัยในเขตอำเภอพนมดงรัก และได้ร่วมในการรักษาผู้ที่ถูกงูพิษ สัตว์พิษกัดที่โรงพยาบาลพนมดงรัก โดยนายเอี๊ยะ บอกว่าการได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรักนั้นดี เพราะมีหมอที่โรงพยาบาลช่วยดูแลคนไข้ด้วย นายเอี๊ยะ บอกว่าสิ่งที่ตนเองภาคภูมิใจมากที่สุด คือ การที่โรงพยาบาลให้ตนเองได้ไปรักษาคนไข้ถูกงูกัดที่โรงพยาบาล ทำให้ตนรู้สึกว่ามีความสำคัญ ทางโรงพยาบาลยอมรับในความสามารถของตน “ก็พอมีรายได้จากที่ไปรักษาที่โรงพยาบาล ช่วยผมได้เยอะ” “ผมภูมิใจที่สุดที่หมอให้ผมไปช่วยรักษาที่โรงพยาบาล ทำให้คนรู้จักผมมากขึ้น”
๒. เป็นครูภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์
จากการรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านโดยการใช้สมุนไพรนั้นแสดงให้เห็นถึงคุณค่าขององค์ความรู้ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวสุรินทร์ ซึ่งยังคงมีบทบาทในการรักษาและคาดว่าภูมิปัญญาเหล่านี้จะยังคงอยู่ แต่อาจมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงในรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของการเจ็บป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป
การที่ภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านยังคงอยู่นั้นมีปัจจัยต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น การรักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วยบางชนิดที่ทางแผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาได้ ขณะที่หมอพื้นบ้านผู้รักษามีจิตใจที่มีความเสียสละ มีคุณธรรมและยินดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทนการที่ประชาชนมีความศรัทธาและความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน ที่หมอพื้นบ้านมีความเป็นกันเองผู้ป่วยและญาติสามารถพูดคุยซักถามได้โดยสะดวก นอกจากนี้ในแต่ละพื้นที่ที่มีบริบทต่างกันล้วนมีองค์ประกอบที่ทำให้หมอพื้นบ้านยังคงเป็นที่พึ่งของประชาชนในชนบทได้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาที่นับวันจะลดน้อยและหายากมากขึ้นทุกขณะ เราจึงควรที่จะต้องร่วมกันรณรงค์ให้เกิดการอนุรักษ์รักษาป่าและสมุนไพรในท้องถิ่นและส่งเสริมเยาวชนรุ่นหลังได้เกิดความภูมิใจในองค์ความรู้ของภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการรักษาผู้ที่เจ็บป่วยและทำให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถพึ่งพิงตนเองในการ ดูแลสุขภาพในเบื้องต้นได้
Cr. http://www.surinpao.org/index.php?action=read&mod=menu&Id=53#.Vdn1AvntlBd
นายชอย สุขพินิจ ปราชญ์ชาวบ้านด้าน การแพทย์แผนไทย
สาขาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร
ปราชญ์ชาวบ้านสาขาการแพทย์แผนไทย และสมุนไพร
การดูแลรักษาสุขภาพของมนุษย์มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล มนุษย์ในแต่ละสังคมต่างก็มีวิธีการดูแลสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยวิธีการต่าง ๆ ออกไป ทั้งนี้ขึ้นกับบริบทของชุมชน ระบบความเชื่อ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ที่มีลักษณะเฉพาะถิ่น สภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและระบบการแพทย์ กระแสหลักทำให้ประชาชนทั้ง ในเมืองและชนบทมีการพึ่งพิงระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบการแพทย์กระแสหลักเป็นส่วนใหญ่ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีลักษณะความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะลักษณะวัฒนธรรมไทย-เขมร ที่มีการดูแลสุขภาพที่แตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและควรที่จะได้มีการศึกษารวบรวมองค์ความรู้อันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้เพราะนับวันภูมิปัญญาเหล่านี้จะลดน้อยลงไปทุกขณะ
ดังนั้นจึงได้มีการศึกษาและรวบรวมภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านการดูแลสุขภาพในเบื้องต้นต่อไป
ชื่อ-สกุล นายชอย สุขพินิจ เกิดเมื่อวันที่ 10 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2481
ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๘๓ หมู่ ๖ บ้านโคกพยูง ตำบลแนงมุด อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ สมรสกับนางเอือย สุขพินิจ มีบุตรธิดา ๖ คน ปัจจุบันมีอาชีพ
ทำนาและช่วยรักษาผู้เจ็บป่วย
วิธีการเรียนรู้ของภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจที่มาเป็นหมอพื้นบ้าน
วิธีการเรียนรู้ภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจของนายชอย สุขพินิจ สามารถสรุปได้ดังนี้
๑. มีตาและพ่อเป็นหมอพื้นบ้าน มีความสนใจตั้งแต่เด็กเนื่องจากเมื่ออายุ ๘ ปี ขาหักเพราะตกจากต้นหมาก ตารักษาให้ด้วยการเป่าและดามไม้ไว้ จึงเห็นความสำคัญของการรักษา จากการได้อยู่ใกล้ชิดกับตาด้วย จึงได้สนใจและเรียนวิชาการรักษาจากตาและพ่อซึ่งเป็นหมอพื้นบ้าน
๒. ได้พบตำราการแพทย์ในขณะที่บวชเป็นพระ นายชอย สุขพินิจ ได้ศึกษาตำราขอมที่มีเนื้อหาทางด้านการแพทย์ การรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น เด็กเป็นซาง รวมทั้งการทำพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การทำเสน่ห์ การทำไสยศาสตร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย จึงได้ศึกษาจากตำราเหล่านี้ แต่ไม่ได้ประกอบพิธีกรรมใด ๆ เพราะว่าพรรษายังน้อย มีความเชื่อว่า ต้องมีอายุพรรษา ๑๐ พรรษาขึ้นไปจึงจะสามารถประกอบพิธีกรรมได้ เช่นการทำพิธีสวดปัดเสนียดจัญไร โกนจุก ฯลฯ
๓. มีชาวบ้านที่เดือดร้อนมาขอร้องให้ช่วยรักษา โดยเริ่มการรักษาครั้งแรก ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี โดยรักษาผู้ที่ถูกเงี่ยงปลาดุกตำ ถูกตะขาบ แมงป่องต่อย

เป็นประธานในพิธีไหว้ครูบูชาหมอพื้นบ้าน ปี พ.ศ. ๒๕๒๒
แนวความคิด
นายชอย สุขพินิจ มีแนวคิดในการดำรงชีวิตโดยใช้หลักธรรมะ มีการดำรงชีวิตอย่างสมถะ ยึดหลักการดำรงชีวิตอย่างพอเพียงเป็นตัวอย่างในชุมชน ปฏิบัติธรรมในเรื่องการให้ทานและเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นมาโดยตลอด โดยบอกว่า “สงสารผู้เจ็บป่วย เขามาหาก็ต้องช่วยเขา ต้องมีความเมตตา” เป็นที่เคารพของคนในหมู่บ้าน เนื่องจากเป็นผู้ที่มีจิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อมีงานในหมู่บ้านนายชอย สุขพินิจ จะให้การช่วยเหลือตลอด ชาวบ้านบอกว่าในพื้นที่ตำบลแนงมุดและตำบลใกล้เคียงอีก ๓ ตำบล ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเป็นครูในการประกอบพิธีกรรม ต่าง ๆ
ความสามารถเฉพาะ
นายชอย สุขพินิจ มีความสามารถในการรักษาการเจ็บป่วยโดยเฉพาะโรคพื้นบ้าน รวมทั้งการรักษาโรคเบาหวาน กระดูกหัก งูสวัด ซางในเด็ก ฝีมีหัว ไอเรื้อรัง มะเร็ง ฯลฯ รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรพื้นบ้านจนกระทั่งได้รับสมญานามว่าเป็น “สารานุกรมสมุนไพรเคลื่อนที่” จากนักวิชาการด้านพฤกษศาสตร์ มีความสามารถพิเศษในการอ่านและเขียนภาษาขอม


ตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านของนายชอย สุขพินิจ
สมุนไพรที่ใช้ประกอบการรักษา
สิ่งที่ภูมิปัญญาพื้นบ้านใช้ในกระบวนการรักษา คือ สมุนไพร ซึ่งมีทั้งพืชวัตถุ สัตว์วัตถุและธาตุวัตถุ ดังเช่น
งูสวัด ใช้เวือรตะเอิ๊ก (เถาสะอึก) ต้มดื่ม นำเปลือกต้นเพกา ฝนกับเหง้าขมิ้นอ้อย หรือเหง้าขมิ้นชัน ฝนจนยาข้นใช้สำลีชุบตัวยาทาแผล และใช้มนต์คาถาเป่าบริเวณที่เป็น
โรคเบาหวาน ใช้ต้นหรือรากขันทองพยาบาท ข้าวเย็นเหนือหรือข้าวเย็นใต้ หัวร้อยรู เหงือกปลาหมอ ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด
ซางตานขโมยในเด็ก ใช้ ทองกวาวเครือ สีเสียดก้อน
ฝีมีหัว ใช้เปลือกและฝักนุ่น ใบสับปะรดส่วนที่ติดกับโคน ใบเถาคันขาว
โรคมะเร็ง ใช้สมุนไพรต้มดื่ม คือ ไม้ไผ่บ้าน (ไผ่สีสุก) ไม้ไผ่ป่า 7 ข้อ เคล็มอังกอล (ภาษาเขมร) แก่นแสมสาร ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ หัวหญ้าแห้วหมู เปลือกมะค่าโมง เปลือกคัดลิ้น เปลือกตั้งบี้ มะพร้าวแก่ ของแสลง ห้ามกิน ได้แก่ ปลามีเกล็ด ของหมักดอง สมุนไพรทา
ดีคางคก เม็ดสะบ้า หางนกยูง (สัตว์วัตถุ) หัวเต่าเพ็ก (สัตว์วัตถุ) ต้นสะบ้า สมุนไพรบ้วนปาก ยอดอ่อนใบฝรั่ง เกลือเม็ด ๓ เม็ด เปลือกต้นมะขาม
อาการไอเรื้อรัง ใช้สมุนไพรต้มดื่ม แก่นสน ต้นปีบ (กาสะลอง) เลา ย่านาง

ร่วมเป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นบ้าน
วิธีการถ่ายทอดองค์ความรู้
นายชอย สุขพินิจ ได้อธิบายว่ามีผู้มาขอเป็นศิษย์ ประมาณ ๕-๖ คน นอกจากนี้ ยังได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับบุตรชายคนสุดท้องด้วยเพราะต้องการให้นำความรู้ไปใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไป การถ่ายทอดองค์ความรู้ในการรักษาจะเลือกผู้เป็นลูกศิษย์โดยพิจารณาจาก
ประวัติและพฤติกรรมความมีคุณธรรม เสียสละ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จากนั้นก็จะให้นำขันธ์ ๕ ดอกไม้ธูปเทียนพร้อมเงิน ๑๒ บาท มาขอมอบตัวเป็นศิษย์ จากนั้นก็จะถ่ายทอดองค์ความรู้ด้วยการบอกเล่าและให้เข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาเป็นช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามีความสามารถแล้วก็จะบอกให้ไปรักษาผู้เจ็บป่วยได้ และเมื่อมีข้อสงสัยใด ๆ สามารถมาปรึกษาครูได้ตลอดเวลา

รับรางวัลเชิดชูเกียรติหมอพื้นบ้านจาก ศ.นพ.ประเวศ วะสี
สิ่งที่ทำให้ภูมิปัญญายังคงอยู่
ในมุมมองของหมอพื้นบ้านเห็นว่าการที่ภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านยังคงอยู่เนื่องจากมีปัจจัยต่าง ๆ เช่น
๑. การที่หมอพื้นบ้านที่มีความเสียสละ มีคุณธรรมและยินดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดย ไม่หวังผลตอบแทนเพราะไม่มีการเรียกร้องค่ารักษาก่อให้เกิดศรัทธา
๒. ประชาชนในชุมชนยังมีความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน อีกทั้งการได้เห็น
ประสิทธิภาพในการรักษาช่วยให้หายจากการเจ็บป่วย
๓. ความเชื่อถือในความสามารถของหมอพื้นบ้านที่ได้สะสมองค์ความรู้มาเป็นระยะเวลายาวนาน
๔. การมีป่าสำหรับการหาสมุนไพรเพื่อนำมาใช้ในการรักษา
๕. การที่หมอพื้นบ้านมีความสามารถในด้านพิธีกรรมร่วมด้วย เป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นมากขึ้น รวมทั้งการใช้มนต์คาถาช่วยการสร้างขวัญกำลังใจและการรักษา
ผลงานที่ผ่านมา
นายชอย สุขพินิจ มีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาและให้การรักษาผู้เจ็บป่วยเป็นประจำ คือ การรักษากระดูกหัก งูสวัด เบาหวาน มะเร็ง ฝีมีหัว ซางตานขโมยในเด็ก เป่าเด็กร้องไห้ไม่หยุด เป็นหมอสะเดาะเคราะห์/พิธีขึ้นบ้านใหม่ /พิธีแต่งงาน
ผลงานด้านอื่น ๆ
นอกจากบทบาทการเป็นหมอพื้นบ้านแล้ว นายชอย สุขพินิจ ยังมีความสามารถ ในด้านอื่น ๆ เช่น
๑. เป็นผู้นำทางด้านพิธีกรรมในชุมชน
๒. เป็นหมอสะเดาะเคราะห์
๓. เป็นวิทยากรสอนเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนประชาสามัคคี ตำบลแนงมุด
๔. ครูผู้สอนการอ่านและเขียนภาษาขอมให้กับเด็กนักเรียน โดยนายชอย บอกว่า
ต้องการสอนให้เด็ก ๆ มีความรู้และสามารถนำไปใช้ได้

เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
เกียรติคุณที่ได้รับ
๑. เชิดชูเกียรติ “ครูผู้มีอุปการะคุณด้านการแพทย์แผนไทย” จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์
๒. เป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์พื้นบ้านของกระทรวงสาธารณสุข
๓. เป็นหมอพื้นบ้านที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการใช้สมุนไพร
๔. ที่ปรึกษาทางด้านสมุนไพรและแพทย์แผนไทยของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์
Cr. http://www.surinpao.org/index.php?action=read&mod=menu&Id=53#.Vdn1AvntlBd
การดูแลรักษาสุขภาพของมนุษย์มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล มนุษย์ในแต่ละสังคมต่างก็มีวิธีการดูแลสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยวิธีการต่าง ๆ ออกไป ทั้งนี้ขึ้นกับบริบทของชุมชน ระบบความเชื่อ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ที่มีลักษณะเฉพาะถิ่น สภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและระบบการแพทย์ กระแสหลักทำให้ประชาชนทั้ง ในเมืองและชนบทมีการพึ่งพิงระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบการแพทย์กระแสหลักเป็นส่วนใหญ่ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีลักษณะความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะลักษณะวัฒนธรรมไทย-เขมร ที่มีการดูแลสุขภาพที่แตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและควรที่จะได้มีการศึกษารวบรวมองค์ความรู้อันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้เพราะนับวันภูมิปัญญาเหล่านี้จะลดน้อยลงไปทุกขณะ
ดังนั้นจึงได้มีการศึกษาและรวบรวมภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านการดูแลสุขภาพในเบื้องต้นต่อไป
นายชอย สุขพินิจ ปราชญ์ชาวบ้านด้าน การแพทย์แผนไทย

ประวัติส่วนตัวชื่อ-สกุล นายชอย สุขพินิจ เกิดเมื่อวันที่ 10 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2481
ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๘๓ หมู่ ๖ บ้านโคกพยูง ตำบลแนงมุด อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ สมรสกับนางเอือย สุขพินิจ มีบุตรธิดา ๖ คน ปัจจุบันมีอาชีพ
ทำนาและช่วยรักษาผู้เจ็บป่วย
วิธีการเรียนรู้ของภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจที่มาเป็นหมอพื้นบ้าน
วิธีการเรียนรู้ภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจของนายชอย สุขพินิจ สามารถสรุปได้ดังนี้
๑. มีตาและพ่อเป็นหมอพื้นบ้าน มีความสนใจตั้งแต่เด็กเนื่องจากเมื่ออายุ ๘ ปี ขาหักเพราะตกจากต้นหมาก ตารักษาให้ด้วยการเป่าและดามไม้ไว้ จึงเห็นความสำคัญของการรักษา จากการได้อยู่ใกล้ชิดกับตาด้วย จึงได้สนใจและเรียนวิชาการรักษาจากตาและพ่อซึ่งเป็นหมอพื้นบ้าน
๒. ได้พบตำราการแพทย์ในขณะที่บวชเป็นพระ นายชอย สุขพินิจ ได้ศึกษาตำราขอมที่มีเนื้อหาทางด้านการแพทย์ การรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น เด็กเป็นซาง รวมทั้งการทำพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การทำเสน่ห์ การทำไสยศาสตร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย จึงได้ศึกษาจากตำราเหล่านี้ แต่ไม่ได้ประกอบพิธีกรรมใด ๆ เพราะว่าพรรษายังน้อย มีความเชื่อว่า ต้องมีอายุพรรษา ๑๐ พรรษาขึ้นไปจึงจะสามารถประกอบพิธีกรรมได้ เช่นการทำพิธีสวดปัดเสนียดจัญไร โกนจุก ฯลฯ
๓. มีชาวบ้านที่เดือดร้อนมาขอร้องให้ช่วยรักษา โดยเริ่มการรักษาครั้งแรก ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี โดยรักษาผู้ที่ถูกเงี่ยงปลาดุกตำ ถูกตะขาบ แมงป่องต่อย
เป็นประธานในพิธีไหว้ครูบูชาหมอพื้นบ้าน ปี พ.ศ. ๒๕๒๒
นายชอย สุขพินิจ มีแนวคิดในการดำรงชีวิตโดยใช้หลักธรรมะ มีการดำรงชีวิตอย่างสมถะ ยึดหลักการดำรงชีวิตอย่างพอเพียงเป็นตัวอย่างในชุมชน ปฏิบัติธรรมในเรื่องการให้ทานและเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นมาโดยตลอด โดยบอกว่า “สงสารผู้เจ็บป่วย เขามาหาก็ต้องช่วยเขา ต้องมีความเมตตา” เป็นที่เคารพของคนในหมู่บ้าน เนื่องจากเป็นผู้ที่มีจิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อมีงานในหมู่บ้านนายชอย สุขพินิจ จะให้การช่วยเหลือตลอด ชาวบ้านบอกว่าในพื้นที่ตำบลแนงมุดและตำบลใกล้เคียงอีก ๓ ตำบล ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเป็นครูในการประกอบพิธีกรรม ต่าง ๆ
ความสามารถเฉพาะ
นายชอย สุขพินิจ มีความสามารถในการรักษาการเจ็บป่วยโดยเฉพาะโรคพื้นบ้าน รวมทั้งการรักษาโรคเบาหวาน กระดูกหัก งูสวัด ซางในเด็ก ฝีมีหัว ไอเรื้อรัง มะเร็ง ฯลฯ รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรพื้นบ้านจนกระทั่งได้รับสมญานามว่าเป็น “สารานุกรมสมุนไพรเคลื่อนที่” จากนักวิชาการด้านพฤกษศาสตร์ มีความสามารถพิเศษในการอ่านและเขียนภาษาขอม
ตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านของนายชอย สุขพินิจ
สมุนไพรที่ใช้ประกอบการรักษา
สิ่งที่ภูมิปัญญาพื้นบ้านใช้ในกระบวนการรักษา คือ สมุนไพร ซึ่งมีทั้งพืชวัตถุ สัตว์วัตถุและธาตุวัตถุ ดังเช่น
งูสวัด ใช้เวือรตะเอิ๊ก (เถาสะอึก) ต้มดื่ม นำเปลือกต้นเพกา ฝนกับเหง้าขมิ้นอ้อย หรือเหง้าขมิ้นชัน ฝนจนยาข้นใช้สำลีชุบตัวยาทาแผล และใช้มนต์คาถาเป่าบริเวณที่เป็น
โรคเบาหวาน ใช้ต้นหรือรากขันทองพยาบาท ข้าวเย็นเหนือหรือข้าวเย็นใต้ หัวร้อยรู เหงือกปลาหมอ ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด
ซางตานขโมยในเด็ก ใช้ ทองกวาวเครือ สีเสียดก้อน
ฝีมีหัว ใช้เปลือกและฝักนุ่น ใบสับปะรดส่วนที่ติดกับโคน ใบเถาคันขาว
โรคมะเร็ง ใช้สมุนไพรต้มดื่ม คือ ไม้ไผ่บ้าน (ไผ่สีสุก) ไม้ไผ่ป่า 7 ข้อ เคล็มอังกอล (ภาษาเขมร) แก่นแสมสาร ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ หัวหญ้าแห้วหมู เปลือกมะค่าโมง เปลือกคัดลิ้น เปลือกตั้งบี้ มะพร้าวแก่ ของแสลง ห้ามกิน ได้แก่ ปลามีเกล็ด ของหมักดอง สมุนไพรทา
ดีคางคก เม็ดสะบ้า หางนกยูง (สัตว์วัตถุ) หัวเต่าเพ็ก (สัตว์วัตถุ) ต้นสะบ้า สมุนไพรบ้วนปาก ยอดอ่อนใบฝรั่ง เกลือเม็ด ๓ เม็ด เปลือกต้นมะขาม
อาการไอเรื้อรัง ใช้สมุนไพรต้มดื่ม แก่นสน ต้นปีบ (กาสะลอง) เลา ย่านาง
ร่วมเป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นบ้าน
นายชอย สุขพินิจ ได้อธิบายว่ามีผู้มาขอเป็นศิษย์ ประมาณ ๕-๖ คน นอกจากนี้ ยังได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับบุตรชายคนสุดท้องด้วยเพราะต้องการให้นำความรู้ไปใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไป การถ่ายทอดองค์ความรู้ในการรักษาจะเลือกผู้เป็นลูกศิษย์โดยพิจารณาจาก
ประวัติและพฤติกรรมความมีคุณธรรม เสียสละ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จากนั้นก็จะให้นำขันธ์ ๕ ดอกไม้ธูปเทียนพร้อมเงิน ๑๒ บาท มาขอมอบตัวเป็นศิษย์ จากนั้นก็จะถ่ายทอดองค์ความรู้ด้วยการบอกเล่าและให้เข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาเป็นช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามีความสามารถแล้วก็จะบอกให้ไปรักษาผู้เจ็บป่วยได้ และเมื่อมีข้อสงสัยใด ๆ สามารถมาปรึกษาครูได้ตลอดเวลา
รับรางวัลเชิดชูเกียรติหมอพื้นบ้านจาก ศ.นพ.ประเวศ วะสี
สิ่งที่ทำให้ภูมิปัญญายังคงอยู่
ในมุมมองของหมอพื้นบ้านเห็นว่าการที่ภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านยังคงอยู่เนื่องจากมีปัจจัยต่าง ๆ เช่น
๑. การที่หมอพื้นบ้านที่มีความเสียสละ มีคุณธรรมและยินดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดย ไม่หวังผลตอบแทนเพราะไม่มีการเรียกร้องค่ารักษาก่อให้เกิดศรัทธา
๒. ประชาชนในชุมชนยังมีความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน อีกทั้งการได้เห็น
ประสิทธิภาพในการรักษาช่วยให้หายจากการเจ็บป่วย
๓. ความเชื่อถือในความสามารถของหมอพื้นบ้านที่ได้สะสมองค์ความรู้มาเป็นระยะเวลายาวนาน
๔. การมีป่าสำหรับการหาสมุนไพรเพื่อนำมาใช้ในการรักษา
๕. การที่หมอพื้นบ้านมีความสามารถในด้านพิธีกรรมร่วมด้วย เป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นมากขึ้น รวมทั้งการใช้มนต์คาถาช่วยการสร้างขวัญกำลังใจและการรักษา
ผลงานที่ผ่านมา
นายชอย สุขพินิจ มีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาและให้การรักษาผู้เจ็บป่วยเป็นประจำ คือ การรักษากระดูกหัก งูสวัด เบาหวาน มะเร็ง ฝีมีหัว ซางตานขโมยในเด็ก เป่าเด็กร้องไห้ไม่หยุด เป็นหมอสะเดาะเคราะห์/พิธีขึ้นบ้านใหม่ /พิธีแต่งงาน
ผลงานด้านอื่น ๆ
นอกจากบทบาทการเป็นหมอพื้นบ้านแล้ว นายชอย สุขพินิจ ยังมีความสามารถ ในด้านอื่น ๆ เช่น
๑. เป็นผู้นำทางด้านพิธีกรรมในชุมชน
๒. เป็นหมอสะเดาะเคราะห์
๓. เป็นวิทยากรสอนเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนประชาสามัคคี ตำบลแนงมุด
๔. ครูผู้สอนการอ่านและเขียนภาษาขอมให้กับเด็กนักเรียน โดยนายชอย บอกว่า
ต้องการสอนให้เด็ก ๆ มีความรู้และสามารถนำไปใช้ได้
เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
๑. เชิดชูเกียรติ “ครูผู้มีอุปการะคุณด้านการแพทย์แผนไทย” จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์
๒. เป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์พื้นบ้านของกระทรวงสาธารณสุข
๓. เป็นหมอพื้นบ้านที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการใช้สมุนไพร
๔. ที่ปรึกษาทางด้านสมุนไพรและแพทย์แผนไทยของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์
Cr. http://www.surinpao.org/index.php?action=read&mod=menu&Id=53#.Vdn1AvntlBd
นายเพือย ดีด้วยมี ปราชญ์ชาวบ้านด้านการแพทย์แผนไทย
สาขาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร
ปราชญ์ชาวบ้านสาขาการแพทย์แผนไทย และสมุนไพร
การดูแลรักษาสุขภาพของมนุษย์มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล มนุษย์ในแต่ละสังคมต่างก็มีวิธีการดูแลสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยวิธีการต่าง ๆ ออกไป ทั้งนี้ขึ้นกับบริบทของชุมชน ระบบความเชื่อ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ที่มีลักษณะเฉพาะถิ่น สภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและระบบการแพทย์ กระแสหลักทำให้ประชาชนทั้ง ในเมืองและชนบทมีการพึ่งพิงระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบการแพทย์กระแสหลักเป็นส่วนใหญ่ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีลักษณะความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะลักษณะวัฒนธรรมไทย-เขมร ที่มีการดูแลสุขภาพที่แตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและควรที่จะได้มีการศึกษารวบรวมองค์ความรู้อันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้เพราะนับวันภูมิปัญญาเหล่านี้จะลดน้อยลงไปทุกขณะ
ดังนั้นจึงได้มีการศึกษาและรวบรวมภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านการดูแลสุขภาพในเบื้องต้นต่อไป
การดูแลรักษาสุขภาพของมนุษย์มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล มนุษย์ในแต่ละสังคมต่างก็มีวิธีการดูแลสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยวิธีการต่าง ๆ ออกไป ทั้งนี้ขึ้นกับบริบทของชุมชน ระบบความเชื่อ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ที่มีลักษณะเฉพาะถิ่น สภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและระบบการแพทย์ กระแสหลักทำให้ประชาชนทั้ง ในเมืองและชนบทมีการพึ่งพิงระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบการแพทย์กระแสหลักเป็นส่วนใหญ่ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีลักษณะความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะลักษณะวัฒนธรรมไทย-เขมร ที่มีการดูแลสุขภาพที่แตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและควรที่จะได้มีการศึกษารวบรวมองค์ความรู้อันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้เพราะนับวันภูมิปัญญาเหล่านี้จะลดน้อยลงไปทุกขณะ
ดังนั้นจึงได้มีการศึกษาและรวบรวมภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านการดูแลสุขภาพในเบื้องต้นต่อไป
๑. นายเพือย ดีด้วยมี ปราชญ์ชาวบ้านด้านการแพทย์แผนไทย
.jpg)
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล นายเพือย ดีด้วยมี เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๔๗ หมู่ ๘ บ้านกาเกาะ ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
จบการศึกษาชั้นสูงสุดประถมศึกษาปีที่ ๔ สมรสกับนางเสมียน ดีด้วยมี มีบุตรธิดาด้วยกัน ๕ คน ปัจจุบันประกอบอาชีพหลักคือการทำนา
วิธีการเรียนรู้ของภูมิปัญญา
เมื่อจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ นายเพือย ดีด้วยมี ได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อแม่ทำนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เพราะที่บ้านมีฐานะยากจน อีกทั้งพ่อแม่มีลูกหลายคนไม่สามารถส่งเสียให้เรียนสูงกว่านี้ได้ ทำนาอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทางบ้านมีฐานะพอมีพอกินไม่เดือดร้อนแล้ว จึงได้ขออนุญาตพ่อแม่ออกบวชเรียนที่วัดในหมู่บ้าน ปี พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๘ ได้ไปจำพรรษาที่วัดมงคลรัตน์ บ้านตะโก ตำบลคอโค อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โดยจำพรรษา อยู่เป็นเวลา ๓ ปี ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อพวน วรมังคโร เป็นเจ้าอาวาสวัดมงคลรัตน์ ช่วงที่จำพรรษาอยู่นั้น ได้มีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติสมาธิจนแก่กล้า และได้เรียนรู้ตำราการรักษา รวมทั้งมนต์คาถาต่าง ๆ จากหลวงพ่อพวน วรมังคโร
ชื่อ-สกุล นายเพือย ดีด้วยมี เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๔๗ หมู่ ๘ บ้านกาเกาะ ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
จบการศึกษาชั้นสูงสุดประถมศึกษาปีที่ ๔ สมรสกับนางเสมียน ดีด้วยมี มีบุตรธิดาด้วยกัน ๕ คน ปัจจุบันประกอบอาชีพหลักคือการทำนา
วิธีการเรียนรู้ของภูมิปัญญา
เมื่อจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ นายเพือย ดีด้วยมี ได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อแม่ทำนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เพราะที่บ้านมีฐานะยากจน อีกทั้งพ่อแม่มีลูกหลายคนไม่สามารถส่งเสียให้เรียนสูงกว่านี้ได้ ทำนาอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทางบ้านมีฐานะพอมีพอกินไม่เดือดร้อนแล้ว จึงได้ขออนุญาตพ่อแม่ออกบวชเรียนที่วัดในหมู่บ้าน ปี พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๘ ได้ไปจำพรรษาที่วัดมงคลรัตน์ บ้านตะโก ตำบลคอโค อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โดยจำพรรษา อยู่เป็นเวลา ๓ ปี ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อพวน วรมังคโร เป็นเจ้าอาวาสวัดมงคลรัตน์ ช่วงที่จำพรรษาอยู่นั้น ได้มีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติสมาธิจนแก่กล้า และได้เรียนรู้ตำราการรักษา รวมทั้งมนต์คาถาต่าง ๆ จากหลวงพ่อพวน วรมังคโร
แรงบันดาลใจของการมาเป็นหมอพื้นบ้าน
การที่นายเพือย ดีด้วยมี มีแรงบันดาลใจและให้ความสนใจในการเป็นหมอพื้นบ้านอัน เนื่องมาจาก
๑. การซึมซับจากสภาพในครอบครัว กล่าวคือ แม่เป็นหมอพื้นบ้านรักษากระดูกหักที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านมาก ส่วนพ่อก็เป็นหมอที่มีความสามารถรักษาแผลจาก
งูพิษกัด การที่สภาพภายในครอบครัวที่ทั้งพ่อและแม่เป็นหมอพื้นบ้านที่เสียสละช่วยดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย ตั้งแต่เกิดมาก็ได้เห็นพฤติกรรมของพ่อแม่ที่ให้การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มาโดยตลอด จึงได้ซึมซับการปฏิบัติของพ่อแม่ ทำให้มีจิตใจที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ อีกทั้งพ่อและแม่ให้มีส่วนร่วมเข้าไปร่วมในกระบวนการรักษา ทำให้เริ่มสนใจการรักษามาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุ ๖-๗ ปี พ่อและแม่จะพาไปเก็บสมุนไพร ประสบการณ์ที่ได้จากพ่อแม่จึงทำให้สะสมความรู้และความใส่ใจในการดูแลคนไข้ ทั้งการรักษากระดูกหัก รักษาแผลจากงูพิษกัด
๒. ในช่วงที่บวชเรียนและได้ไปจำพรรษาที่วัดมงคลรัตน์นั้น หลวงพ่อพวน วรมังคโร ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ท่านมีความสามารถทางด้านคาถาอาคม และช่วยรักษาผู้เจ็บป่วยจำนวนมาก ในแต่ละวันจะมีผู้ที่เจ็บป่วยมาขอรับการรักษาเป็นจำนวนมากมีทั้งที่ป่วยด้วยโรคทางกายและป่วยเนื่องจากสภาพจิตใจ นายเพือย ดีด้วยมี ซึ่งบวชเป็นพระลูกศิษย์จำพรรษาอยู่ในวัด จึงมีโอกาสได้เรียนกรรมฐานการปฏิบัติสมาธิ และเรียนรู้การรักษาผู้เจ็บป่วยด้วยอาการต่าง ๆ เช่นคนวิกลจริต ถูกคุณไสย ฯลฯ
การที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการนั่งกรรมฐานช่วยให้มีสมาธิแก่กล้า สามารถเพ่งสมาธิรู้ว่าผู้เจ็บป่วยแต่ละคนเจ็บป่วยจากสาเหตุอะไร และจะใช้วิธีการแก้ไขอย่างไร รวมทั้งมีความรู้เกี่ยวกับยาที่จะใช้รักษาอาการเจ็บป่วยด้วย
การที่นายเพือย ดีด้วยมี มีแรงบันดาลใจและให้ความสนใจในการเป็นหมอพื้นบ้านอัน เนื่องมาจาก
๑. การซึมซับจากสภาพในครอบครัว กล่าวคือ แม่เป็นหมอพื้นบ้านรักษากระดูกหักที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านมาก ส่วนพ่อก็เป็นหมอที่มีความสามารถรักษาแผลจาก
งูพิษกัด การที่สภาพภายในครอบครัวที่ทั้งพ่อและแม่เป็นหมอพื้นบ้านที่เสียสละช่วยดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย ตั้งแต่เกิดมาก็ได้เห็นพฤติกรรมของพ่อแม่ที่ให้การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มาโดยตลอด จึงได้ซึมซับการปฏิบัติของพ่อแม่ ทำให้มีจิตใจที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ อีกทั้งพ่อและแม่ให้มีส่วนร่วมเข้าไปร่วมในกระบวนการรักษา ทำให้เริ่มสนใจการรักษามาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุ ๖-๗ ปี พ่อและแม่จะพาไปเก็บสมุนไพร ประสบการณ์ที่ได้จากพ่อแม่จึงทำให้สะสมความรู้และความใส่ใจในการดูแลคนไข้ ทั้งการรักษากระดูกหัก รักษาแผลจากงูพิษกัด
๒. ในช่วงที่บวชเรียนและได้ไปจำพรรษาที่วัดมงคลรัตน์นั้น หลวงพ่อพวน วรมังคโร ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ท่านมีความสามารถทางด้านคาถาอาคม และช่วยรักษาผู้เจ็บป่วยจำนวนมาก ในแต่ละวันจะมีผู้ที่เจ็บป่วยมาขอรับการรักษาเป็นจำนวนมากมีทั้งที่ป่วยด้วยโรคทางกายและป่วยเนื่องจากสภาพจิตใจ นายเพือย ดีด้วยมี ซึ่งบวชเป็นพระลูกศิษย์จำพรรษาอยู่ในวัด จึงมีโอกาสได้เรียนกรรมฐานการปฏิบัติสมาธิ และเรียนรู้การรักษาผู้เจ็บป่วยด้วยอาการต่าง ๆ เช่นคนวิกลจริต ถูกคุณไสย ฯลฯ
การที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการนั่งกรรมฐานช่วยให้มีสมาธิแก่กล้า สามารถเพ่งสมาธิรู้ว่าผู้เจ็บป่วยแต่ละคนเจ็บป่วยจากสาเหตุอะไร และจะใช้วิธีการแก้ไขอย่างไร รวมทั้งมีความรู้เกี่ยวกับยาที่จะใช้รักษาอาการเจ็บป่วยด้วย
.jpg)
เป็นวิทยากรให้ความรู้เรื่องสมุนไพรให้กับนักเรียน
แนวความคิด
นายเพือย ดีด้วยมี มีแนวความคิดที่สำคัญ ในการเป็นหมอพื้นบ้านเพราะต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้สุขสบายขึ้นช่วยให้พ้นจากการทุกข์ทรมานหายจากการเจ็บป่วย โดยมี
มุมมองต่อชีวิตว่า “ในชีวิตต้องการให้ประชาชนรวมทั้งสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้มีความสุขสบาย เราสบาย เขาสบาย เราได้กิน เขาได้กิน”
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต คือ บั้นปลายชีวิตมองหาที่ตาย ตายให้มีความสงบ เตรียมตัวก่อนตาย บุตรหลานจะได้ไม่เดือดร้อน ในด้านการครองชีวิตคู่ เน้นการทำหน้าที่ของแต่ละคนให้สมบูรณ์ที่สุด ในด้านการสั่งสอนลูก ต้องกระทำตัวเองให้ลูกหลานดูเป็นตัวอย่างที่ดี และต้องพัฒนาตัวเองให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น แข่งขันกับตัวเองให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
นายเพือย ดีด้วยมี มีแนวความคิดที่สำคัญ ในการเป็นหมอพื้นบ้านเพราะต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้สุขสบายขึ้นช่วยให้พ้นจากการทุกข์ทรมานหายจากการเจ็บป่วย โดยมี
มุมมองต่อชีวิตว่า “ในชีวิตต้องการให้ประชาชนรวมทั้งสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้มีความสุขสบาย เราสบาย เขาสบาย เราได้กิน เขาได้กิน”
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต คือ บั้นปลายชีวิตมองหาที่ตาย ตายให้มีความสงบ เตรียมตัวก่อนตาย บุตรหลานจะได้ไม่เดือดร้อน ในด้านการครองชีวิตคู่ เน้นการทำหน้าที่ของแต่ละคนให้สมบูรณ์ที่สุด ในด้านการสั่งสอนลูก ต้องกระทำตัวเองให้ลูกหลานดูเป็นตัวอย่างที่ดี และต้องพัฒนาตัวเองให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น แข่งขันกับตัวเองให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
ความสามารถเฉพาะ
นายเพือย มีด้วยดี มีความสามารถในการรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยโรคท้องถิ่นต่าง ๆ รวมทั้งอาการอื่น ๆ เช่น อาการวิกลจริต การถูกพิษ ถูกคุณไสย ซางตานขโมย เด็กร้องไห้ไม่หยุด งูสวัด อาการไข้ต่าง ๆ งูกัด กระดูกหัก ปวดท้อง ปวดหัว เบาหวาน ผิดสำแดงประเภทต่าง ๆ ตกเลือดหลังคลอด ฯลฯ การรักษาของนายเพือย ดีด้วยมี ประกอบด้วยการรักษาอยู่ที่บ้าน และไปรักษาที่บ้านคนไข้
นอกจากนี้นายเพือย ดีด้วยมี ได้มีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้จากการมีชมรมหมอพื้นบ้านสุรินทร์ ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ ได้รวบรวมหมอพื้นบ้านและจัดตั้งเป็นชมรมโดยมีกิจกรรมให้สมาชิกที่เป็นหมอพื้นบ้านได้มีโอกาสพบปะ มีการประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ การสัมมนาตำรายาสมุนไพรพื้นบ้าน การเดินป่าสำรวจพันธุ์สมุนไพร จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทำให้ได้รับความรู้เพิ่มเติมจากหลวงพ่อเมียก ฉันฑวุฒโฑ และหมอพื้นบ้านคนอื่น ๆ
นายเพือย มีด้วยดี มีความสามารถในการรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยโรคท้องถิ่นต่าง ๆ รวมทั้งอาการอื่น ๆ เช่น อาการวิกลจริต การถูกพิษ ถูกคุณไสย ซางตานขโมย เด็กร้องไห้ไม่หยุด งูสวัด อาการไข้ต่าง ๆ งูกัด กระดูกหัก ปวดท้อง ปวดหัว เบาหวาน ผิดสำแดงประเภทต่าง ๆ ตกเลือดหลังคลอด ฯลฯ การรักษาของนายเพือย ดีด้วยมี ประกอบด้วยการรักษาอยู่ที่บ้าน และไปรักษาที่บ้านคนไข้
นอกจากนี้นายเพือย ดีด้วยมี ได้มีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้จากการมีชมรมหมอพื้นบ้านสุรินทร์ ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ ได้รวบรวมหมอพื้นบ้านและจัดตั้งเป็นชมรมโดยมีกิจกรรมให้สมาชิกที่เป็นหมอพื้นบ้านได้มีโอกาสพบปะ มีการประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ การสัมมนาตำรายาสมุนไพรพื้นบ้าน การเดินป่าสำรวจพันธุ์สมุนไพร จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทำให้ได้รับความรู้เพิ่มเติมจากหลวงพ่อเมียก ฉันฑวุฒโฑ และหมอพื้นบ้านคนอื่น ๆ
สมุนไพรที่ใช้ประกอบการรักษา
สมุนไพรที่ใช้ในการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคต่าง ๆ สิ่งที่ต้องใช้คือสมุนไพรพื้นบ้าน
ตามตัวอย่างที่ได้นำเสนอตามลำดับดังนี้
โรคซางตานขโมยในเด็ก รักษาโดยการให้แม่กินยาสมุนไพร สมุนไพรที่ใช้ คือ ตังกีบกะดาม (เม่าไข่ปลา) และ ตระเส็จ (นนทรี) นำสมุนไพรทั้ง ๒ ชนิด มาต้มให้แม่กินต่างน้ำ
ยากวาดลิ้นเด็ก โดยใช้เถาบอระเพ็ดและหัวตะไคร้ นำมาเผาให้เป็นผงถ่าน ผสมน้ำใช้กวาดลิ้นให้เด็ก
งูสวัด ใช้หน่อไม้ป่าและหน่อไม้บ้าน หัวกลอย ลูกน้อยหน่าแห้งเผา นำสมุนไพรทั้งหมด แช่น้ำนาน ๓๐ นาที แล้วให้ดื่ม ห้ามแช่นานกว่านี้ เพราะจะทำให้ยาบูด
สมุนไพรที่ใช้ในการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคต่าง ๆ สิ่งที่ต้องใช้คือสมุนไพรพื้นบ้าน
ตามตัวอย่างที่ได้นำเสนอตามลำดับดังนี้
โรคซางตานขโมยในเด็ก รักษาโดยการให้แม่กินยาสมุนไพร สมุนไพรที่ใช้ คือ ตังกีบกะดาม (เม่าไข่ปลา) และ ตระเส็จ (นนทรี) นำสมุนไพรทั้ง ๒ ชนิด มาต้มให้แม่กินต่างน้ำ
ยากวาดลิ้นเด็ก โดยใช้เถาบอระเพ็ดและหัวตะไคร้ นำมาเผาให้เป็นผงถ่าน ผสมน้ำใช้กวาดลิ้นให้เด็ก
งูสวัด ใช้หน่อไม้ป่าและหน่อไม้บ้าน หัวกลอย ลูกน้อยหน่าแห้งเผา นำสมุนไพรทั้งหมด แช่น้ำนาน ๓๐ นาที แล้วให้ดื่ม ห้ามแช่นานกว่านี้ เพราะจะทำให้ยาบูด
.jpg)
วิธีการรักษาแบบหมอพื้นบ้านของนายเพือย ดีด้วยมี
ยาแก้ร้อนใน ใช้สมุนไพร คือ หัวกลอยสด เอาเปลือกขนออก ฝานบาง ๆ ประมาณ ๒ นิ้ว (ใช้มากจะเป็นพิษ) หน่อไม้บ้านสดใช้ต้นอ่อน(หน่อ) ๑ หน่อ (เส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๑ นิ้วมือ ยาว ๔ นิ้ว) ผลน้อยหน่าแห้งคาต้น (ลูกเท่ากำมือ) เผาไฟให้ไหม้ จำนวน ๑ ลูก นำตัวยาทั้งหมดมาแช่น้ำ หากให้เด็กทารกที่กินนมแม่ ให้แช่ยา ๓๐ นาที จากนั้นนำน้ำยาที่แช่มาหยดใส่ หัวนมแม่ แล้วจึงให้ลูกดูดนมแม่ สำหรับในเด็กอายุ ๑-๓ ปี และผู้ใหญ่ ให้แช่ยา ๓๐ นาที เช่นกันแต่ให้นำมาให้ดื่มแทนน้ำ
คางทูม การรักษาใช้สมุนไพร คือ ใบมะลิ ๑ กำมือ ใบตำลึง ๑ กำมือ นำสมุนไพรทั้งหมดมาตำรวมกัน ใส่น้ำเล็กน้อยนำมาปิดหรือพอกบริเวณที่เป็น ให้หยอดน้ำบ่อย ๆ บริเวณที่พอกยาอย่าปล่อยให้ยาแห้ง และต้องเปลี่ยนยาที่พอกทุกวัน ห้ามรับประทานอาหารแสลง ได้แก่ ไก่ เหล้า ข้าวเหนียว
วิธีการถ่ายทอดภูมิปัญญา
นายเพือย ดีด้วยมี ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์ มากกว่า ๑๐ คน แต่ลูกหลานไม่มีคนที่สืบทอดต่อ นายเพือย ดีด้วยมี บอกว่าอาจเนื่องจากทุกคนมีงานทำซึ่งอยู่ไกลไม่มีเวลามาเรียนและไม่มีเวลาให้การรักษาแก่ชาวบ้าน
สำหรับวิธีการถ่ายทอดความรู้ ไม่มีข้อปฏิบัติยุ่งยากจะพิจารณาผู้ที่มาขอเป็นศิษย์โดยการนั่งสมาธิและสังเกตพฤติกรรมเป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ก็จะให้นำดอกไม้ธูปเทียน ขันธ์ ๕ พร้อมเงิน ๑๒ บาท มาขอสมัครเป็นศิษย์ จากนั้นก็จะถ่ายทอดความรู้ให้โดยการบอกเล่า และให้เข้าร่วมในกระบวนการรักษาด้วยเพื่อให้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับการรักษาคนไข้
นายเพือย ดีด้วยมี ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์ มากกว่า ๑๐ คน แต่ลูกหลานไม่มีคนที่สืบทอดต่อ นายเพือย ดีด้วยมี บอกว่าอาจเนื่องจากทุกคนมีงานทำซึ่งอยู่ไกลไม่มีเวลามาเรียนและไม่มีเวลาให้การรักษาแก่ชาวบ้าน
สำหรับวิธีการถ่ายทอดความรู้ ไม่มีข้อปฏิบัติยุ่งยากจะพิจารณาผู้ที่มาขอเป็นศิษย์โดยการนั่งสมาธิและสังเกตพฤติกรรมเป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ก็จะให้นำดอกไม้ธูปเทียน ขันธ์ ๕ พร้อมเงิน ๑๒ บาท มาขอสมัครเป็นศิษย์ จากนั้นก็จะถ่ายทอดความรู้ให้โดยการบอกเล่า และให้เข้าร่วมในกระบวนการรักษาด้วยเพื่อให้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับการรักษาคนไข้
สิ่งที่ทำให้ภูมิปัญญาคงอยู่
สิ่งที่ทำให้ภูมิปัญญาคงอยู่นั้น นายเพือย ดีด้วยมี ได้อธิบายสรุปไว้ดังต่อไปนี้
๑. มีความเสียสละ มีคุณธรรมช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทนไม่มีการเรียกร้องค่ารักษา รวมทั้งมีการพูดคุยให้ข้อมูลแก่คนไข้รวมทั้งมีการให้กำลังใจแก่คนไข้ที่มารับการรักษา
๒. เนื่องจากในชุมชนท้องถิ่นประชาชนยังมีความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน
๓. การได้เห็นประสิทธิภาพในการรักษาช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย
๔. การที่ภูมิปัญญามีการสะสมองค์ความรู้มาเป็นระยะเวลายาวนานทำให้ชาวบ้านมี ความเชื่อถือ
๕. การมีสมุนไพรที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น
๖. การใช้มนต์คาถา ซึ่งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจและเป็นกระบวนการที่ยังพิสูจน์
สิ่งที่ทำให้ภูมิปัญญาคงอยู่นั้น นายเพือย ดีด้วยมี ได้อธิบายสรุปไว้ดังต่อไปนี้
๑. มีความเสียสละ มีคุณธรรมช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทนไม่มีการเรียกร้องค่ารักษา รวมทั้งมีการพูดคุยให้ข้อมูลแก่คนไข้รวมทั้งมีการให้กำลังใจแก่คนไข้ที่มารับการรักษา
๒. เนื่องจากในชุมชนท้องถิ่นประชาชนยังมีความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน
๓. การได้เห็นประสิทธิภาพในการรักษาช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย
๔. การที่ภูมิปัญญามีการสะสมองค์ความรู้มาเป็นระยะเวลายาวนานทำให้ชาวบ้านมี ความเชื่อถือ
๕. การมีสมุนไพรที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น
๖. การใช้มนต์คาถา ซึ่งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจและเป็นกระบวนการที่ยังพิสูจน์
.jpg)
ให้ความรู้เรื่องสมุนไพรกับผู้สนใจทั่วไป
ผลงานที่ผ่านมา
ผลงานด้านการเป็นหมอพื้นบ้าน
มีบทบาทการรักษาอาการเจ็บป่วย ด้วยโรคต่าง ๆ โดยมีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคเป็นพิเศษ คือ โรคพื้นบ้าน อาการผิดสำแดง งูสวัด คางทูม เด็กเป็นซางตานขโมยและผู้ที่ถูกคุณไสย
เป็นวิทยากรในการอบรมให้ความรู้เรื่องสมุนไพรให้กับเด็กเยาวชน นักเรียน เป็นวิทยากรในการอบรมให้ความรู้เรื่องของสมุนไพรพื้นบ้าน ทั้งในระดับชุมชน และในระดับจังหวัด ตลอดจนเป็นตัวแทนหมอ พื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์ร่วมประชุมและสัมมนาในระดับภาคและระดับประเทศ
ผลงานด้านการเป็นหมอพื้นบ้าน
มีบทบาทการรักษาอาการเจ็บป่วย ด้วยโรคต่าง ๆ โดยมีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคเป็นพิเศษ คือ โรคพื้นบ้าน อาการผิดสำแดง งูสวัด คางทูม เด็กเป็นซางตานขโมยและผู้ที่ถูกคุณไสย
เป็นวิทยากรในการอบรมให้ความรู้เรื่องสมุนไพรให้กับเด็กเยาวชน นักเรียน เป็นวิทยากรในการอบรมให้ความรู้เรื่องของสมุนไพรพื้นบ้าน ทั้งในระดับชุมชน และในระดับจังหวัด ตลอดจนเป็นตัวแทนหมอ พื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์ร่วมประชุมและสัมมนาในระดับภาคและระดับประเทศ
.jpg)
เป็นวิทยากรให้ความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นบ้านกับนักเรียน
รางวัลเกียรติคุณที่ได้รับ
๑. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านหมอพื้นบ้านของจังหวัดสุรินทร์
๒. เชิดชูเกียรติ “ครูผู้มีอุปการะคุณด้านการแพทย์แผนไทย” จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์
๓. รางวัลช้างเงิน “ภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการเป็นหมอพื้นบ้าน” จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
๔. เกียรติบัตรเชิดชูเกียรติภูมิปัญญาพื้นบ้าน จากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
๕. เกียรติบัตรเชิดชูเกียรติ หมอพื้นบ้าน จากกระทรวงสาธารณสุข
๑. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านหมอพื้นบ้านของจังหวัดสุรินทร์
๒. เชิดชูเกียรติ “ครูผู้มีอุปการะคุณด้านการแพทย์แผนไทย” จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์
๓. รางวัลช้างเงิน “ภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการเป็นหมอพื้นบ้าน” จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
๔. เกียรติบัตรเชิดชูเกียรติภูมิปัญญาพื้นบ้าน จากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
๕. เกียรติบัตรเชิดชูเกียรติ หมอพื้นบ้าน จากกระทรวงสาธารณสุข
.jpg)
เป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการศึกษาสำรวจพันธุ์สมุนไพร
ผลงานอื่น ๆ ในชุมชน
๑. เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านกาเกาะ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๔-๒๕๓๙ ขณะที่เป็นผู้ช่วยฯ ได้สนใจพัฒนาความรู้โดยได้ศึกษาต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจนกระทั่งจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖
๒. เป็นกรรมการสภาตำบล
๓. เป็นหัวหน้าคุ้มในหมู่บ้าน
๔. ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาของหมู่บ้าน และที่ปรึกษากองทุนหมู่บ้าน
๕. เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐาน ในช่วงที่มีพิธีปริวาสกรรมทุกปี ปีละ ๔-๕ วัด
๖. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านหมอพื้นบ้านของจังหวัดสุรินทร์
๗. เป็นวิทยากรพิเศษด้านสมุนไพร และการดูแลสุขภาพพื้นบ้านของจังหวัด ทั้งในระดับหมู่บ้าน อำเภอ และจังหวัด
๑. เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านกาเกาะ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๔-๒๕๓๙ ขณะที่เป็นผู้ช่วยฯ ได้สนใจพัฒนาความรู้โดยได้ศึกษาต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจนกระทั่งจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖
๒. เป็นกรรมการสภาตำบล
๓. เป็นหัวหน้าคุ้มในหมู่บ้าน
๔. ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาของหมู่บ้าน และที่ปรึกษากองทุนหมู่บ้าน
๕. เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐาน ในช่วงที่มีพิธีปริวาสกรรมทุกปี ปีละ ๔-๕ วัด
๖. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านหมอพื้นบ้านของจังหวัดสุรินทร์
๗. เป็นวิทยากรพิเศษด้านสมุนไพร และการดูแลสุขภาพพื้นบ้านของจังหวัด ทั้งในระดับหมู่บ้าน อำเภอ และจังหวัด
Cr. http://www.surinpao.org/index.php?action=read&mod=menu&Id=53#.Vdnzf_ntlBc
‘หลักการแพทย์ผสมผสาน’ แพทย์แผนปัจจุบัน-หมอพื้นบ้าน ‘รักษา
พ่อเอียะ สายกระสุน
นายแพทย์อภิสรรค์
ผู้อำนายการโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
ร.พ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จ.สุรินทร์
ให้บริการด้วย ‘หลักการแพทย์ผสมผสาน’
แพทย์แผนปัจจุบัน-หมอพื้นบ้าน ‘รักษาพิษงู’
โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จ.สุรินทร์ เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียงที่ได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ และเป็นโรงพยาบาลที่ไม่ยึดติดกับการรักษาด้วยหลักการแพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้น แต่ได้นำหลักการแพทย์ทุกศาสตร์ที่พิจารณาแล้วว่าได้ผลดีกับคนไข้มาผสมผสานกันเพื่อนำไปสู่สุขภาพที่ดี
วิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลมุ่งเน้นเรื่องของหลักการแพทย์ผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้การบริหารของนพ.อภิสรรค์ บุญประดับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ที่ได้พัฒนาการบริการด้วยหลักการแพทย์ผสมผสานของโรงพยาบาลจนสามารถเป็นศูนย์การเรียนรู้ของ อบต. และเป็นที่ศึกษาดูงาน
นพ.อภิสรรค์ กล่าวว่า หลักการแพทย์ผสมผสานของโรงพยาบาลมีอยู่ทั้งหมด 6 หลัก ได้แก่ หลักการของแพทย์แผนจีน หลักการของแพทย์แผนไทย หลักการของสมาธิบำบัด หลักการของแพทย์พื้นบ้าน หลักการของกายภาพบำบัด และหลักการของศีล 5
สำหรับหลักการของแพทย์พื้นบ้านนั้น จะมี หมอเอียะ สายกระสุน หมอพื้นบ้าน ที่เชี่ยวชาญในเรื่องสมุนไพรรักษาพิษงูเป็นผู้นำองค์ความรู้ทางด้านนี้มาใช้ในโรงพยาบาล ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันและหมอพื้นบ้านได้อย่างลงตัว
นพ.อภิสรรค์ เล่าว่า เมื่อมีคนไข้ที่ถูกงูกัดถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล นอกจากแพทย์เวรที่ให้การดูแลแล้ว หากวินิจฉัยว่าคนไข้ถูกงูพิษกัด หมอเอียะจะเป็นผู้ทำการรักษาด้วยสมุนไพรรักษาพิษงูซึ่งประกอบด้วยสมุนไพร 3 ชนิดคือ รากต้นโลดทะนงแดง หมาก และมะนาว วิธีการรักษาจะนำรากต้นโลดทะนงแดงและหมากนำมาฝนผสมกับน้ำประมาณครึ่งแก้วให้คนไข้ดื่ม รวมทั้งนำรากต้นโลดทะนงแดงและหมากนำมาฝนโดยใช้น้ำมะนาวเป็นตัวประสานยา นำมาทาบริเวณแผลที่ถูกงูพิษกัด จากนั้นหมอเอียะจะติดตามอาการคนไข้เช้า-เย็นจนกว่าจะมีอาการดีขึ้นและออกจากโรงพยาบาล โดยการดูแลรักษาจะเป็นการผสมผสานระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของไข้ และหมอเอียะ หมอพื้นบ้านให้การดูแลเช้า-เย็น
ทั้งนี้จากแนวทางของโรงพยาบาลทั่วไปและของกระทรวงสาธารณสุข ถ้าถูกงูพิษกัด เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แพทย์จะยังไม่ฉีดเซรุ่มให้ ถึงแม้จะนำงูมาด้วยและยืนยันว่าเป็นงูพิษ ต้องรอดูอาการจนกว่าจะมีอาการทางระบบ โดยงูแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ งูที่มีพิษต่อระบบประสาท เช่น งูเห่า งูจงอาง งูที่มีพิษต่อระบบเลือด เช่น งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ และงูที่มีพิษต่อระบบกล้ามเนื้อ เช่น งูทะเล ซึ่งงูประเภทหลังสุดนี้ไม่พบในภาคอีสาน
“ถ้าถูกงูที่มีพิษต่อระบบประสาทกัด คนไข้จะมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก แขนขาอ่อนแรง หนังตาตก หากมีอาการแสดงเช่นนี้ แสดงว่ามีอาการของพิษงูทางระบบประสาทแล้ว แพทย์จึงจะทำการให้เซรุ่ม แต่ถ้ายังไม่มีอาการจะต้องรอจนกว่าจะมีอาการ ถ้าหากถูกงูที่มีพิษต่อระบบเลือดกัด คนไข้จะต้องมีอาการเลือดออกผิดปกติ หรือเกิดการแข็งตัวในกระแสเลือดยาวนานผิดปกติจึงจะให้เซรุ่มได้ ซึ่งคนไข้ที่ถูกงูพิษกัดก็คงอยากจะได้รับการรักษาเลย ไม่อยากรอให้เกิดอาการก่อนแล้วถึงจะได้รับเซรุ่ม แต่ในทางการแพทย์แล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะสำหรับการแพทย์แผนปัจจุบัน เซรุ่มจัดเป็นยา ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะประโยชน์ แต่ยังมีโทษให้เกิดอาการแพ้ได้ เพราะฉะนั้นในการใช้จึงต้องมีข้อบ่งชี้”
ด้วยเหตุนี้การรักษาด้วยหลักการแพทย์พื้นบ้านของหมอเอียะจึงเข้ามาเติมเต็มให้ระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากการรักษาด้วยหมอเอียะจะใช้สมุนไพร และไม่ได้รอให้เกิดอาการก่อนแล้วจึงให้รักษา ซึ่งตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา เมื่อคนไข้ได้รับการรักษาด้วยสมุนไพรไปแล้ว ไม่มีคนไข้ที่เกิดอาการทางระบบประสาทหรือระบบเลือดและต้องได้รับเซรุ่มเลย อีกทั้งคนไข้ยังมีอาการดีขึ้นและสามารถกลับบ้านได้ ถือเป็นแนวทางที่ทางโรงพยาบาลนำมาเติมเต็มในระบบบริการสาธารณสุขให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เพราะก่อนหน้านี้การทำงานจะแยกส่วนกัน หมอพื้นบ้านก็รู้แต่มุมมองของหมอพื้นบ้าน แพทย์แผนปัจจุบันก็จะรู้แต่มุมมองของแพทย์แผนปัจจุบัน แต่เมื่อมาทำงานร่วมกัน ได้พูดคุยและร่วมดูแลคนไข้ก็ทำให้เข้าใจในหลักการมากขึ้น
นพ.อภิสรรค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการเรียนรู้ก่อเกิดเป็นการร่วมทำงานวิจัยในโครงการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการจัดการดูแลสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน ในประเด็นการรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูพิษและสัตว์พิษกัด โดยใช้สมุนไพรโลดทะนงแดง โดยสำนักการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก งานวิจัยนี้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552-2554 ซึ่งผลการรักษาออกมาดี คนไข้หายและไม่มีภาวะแทรกซ้อน และงานวิจัยชิ้นนี้ยังได้รับรางวัลในระดับเขต ระดับจังหวัด และระดับประเทศ ต่อมาหลังจากปี พ.ศ. 2555 จึงได้เริ่มทำงานวิจัยชิ้นที่ 2 เนื่องจากมีมุมมองจากนักวิชาการบางท่านมองว่า งูที่กัดคนไข้นั้นเป็นงูไม่มีพิษหรือมีพิษน้อย คนไข้ถึงหายได้โดยที่ไม่ต้องฉีดเซรุ่ม จึงเป็นที่มาของงานวิจัยชิ้นนี้ โดยเป็นการวิจัยโดยสำรวจทางระบาดวิทยาของคนไข้ที่ถูกงูพิษกัดตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก ครอบคลุมจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ว่ามีคนไข้ถูกงูพิษชนิดใดกัดบ้างและผลการรักษาเป็นอย่างไร เพื่อมาเทียบเคียงว่างูพิษของพนมดงรักไม่ใช่งูที่ไม่มีพิษ
ผลการวิจัยสรุปว่า ผลการรักษาโดยใช้ยาสมุนไพรมีอัตราการหายอยู่ที่ 97% อัตราการส่งต่ออยู่ที่ 3% แต่ถ้าเป็นคนไข้ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยสมุนไพร ใช้เซรุ่มและยา อัตราการหายอยู่ที่ 87% อัตราการส่งต่ออยู่ที่ 11% และปฏิเสธการรักษา 2% ดังนั้น จึงบ่งบอกได้ว่าสมุนไพรตำรับนี้มีประโยชน์และสามารถรักษาพิษงูได้จริง โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้นำเสนอที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา
“การทำงานร่วมกันให้ประสบความสำเร็จ อันดับแรกต้องสำรวจว่าในพื้นที่มีองค์ความรู้หมอพื้นบ้านอะไรบ้าง อันดับที่สองต้องเข้าใจวิธีคิด วิธีการ ในการใช้องค์ความรู้ของหมอพื้นบ้าน เนื่องจากหลายอย่างไม่สามารถตอบได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ตอบได้ด้วยประสบการณ์และเป้าหมาย อันดับที่สามต้องพิจารณาว่าองค์ความรู้ที่มีอยู่จะมาเติมเต็มในส่วนไหนของระบบ อันดับที่สี่มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง และอันดับสุดท้ายคือ ต้องสร้างคุณค่าและการมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด” นพ.อภิสรรค์ กล่าวทิ้งท้าย
Cr. http://www.wongkarnpat.com/viewya.php?id=762#.VdnxFPntlBc
นายเอียะ สายกระสุน หมอสมุนไพรรักษาพิษงู
แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาการรักษาพิษงูด้วยสมุนไพร
นายเอี๊ยะ สายกระสุน ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๖๑ หมู่ ๒ บ้านท่าสว่าง ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียน บ้านรุน มีบุตร ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓ คน ประกอบอาชีพรับจ้าง
นายเอี๊ยะ สายกระสุน ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๖๑ หมู่ ๒ บ้านท่าสว่าง ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียน บ้านรุน มีบุตร ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓ คน ประกอบอาชีพรับจ้าง
นายเอี๊ยะ เป็นบุคคลต้นแบบคนหนึ่งของสังคมที่ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะหลังจากน้องสาวได้เสียชีวิตเพระถูกงูพิษกัด นายเอี๊ยะ ก็เพียรพยายามที่จะหายามารักษาคนที่ถูกงูพิษกัด ความพยายามเป็นบ่อเกิดของความสำเร็จยังคงเป็นสัจธรรม หลังจากสืบเสาะหายารักษาพิษงูมาเป็นเวลาหลายปีในที่สุดนายเอี๊ยะก็ได้มีโอกาสเรียนรู้การนำสมุนไพรพื้นบ้านมารักษาพิษงูจากญาติคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจังหวัดพิจิตร(นายขวัญ เที่ยงธรรม มีศักดิ์เป็นลุงเขย : สันนิษฐานว่าได้ตำรายามาจากประเทศกัมพูชา)
องค์ประกอบของสมุนไพรักษาพิษงูไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย มีเพียงแต่รากของพืชที่มีชื่อว่า โลดทะนงแดง หรือพระเจ้าปลูกหลง หมาก และน้ำสะอาด ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่ถูกงูพิษกัดกลับมามีชีวิตอย่างปกติสุขได้อีกครั้งหนึ่ง
กรรมวิธีในการรักษาก็ไม่ได้ยุ่งยาก เพียงแต่ฝนรากโลดทะนงแดงผสมกับหมากแห้งเพียงเล็กน้อยผสมให้เข้ากันในน้ำสะอาดประมาณ ๑๐ ซีซี. ให้ผู้ถูกงูพิษกัดดื่มเพียงครั้งเดียวสำหรับงูพิษโดยทั่วไป(แต่สำหรับงูจงอางให้ดื่ม ๒ ครั้ง โดยให้ดื่มวันละ ๑ ครั้ง) พิษงูที่อยู่ในร่างกายของคนก็จะถูกถอนออกไปโดยสมุนไพรมหัศจรรย์นี้เพียง ๓๐ นาที นอกจากนี้ถ้าโดนพิษจากสัตว์ประเภทแมลง ก็ไม่ต้องดื่มเพียงแต่ใช้ยาสมุนไพรทาบริเวณที่ถูกกัด หรือถูกต่อย พิษร้ายจากแมลงก็จะถูกถอนออกไปจากร่างกายในเร็วพลัน
นับเป็นโชคดีของชุมชนตำบลบักได ที่มีปราชญ์ชาวบ้านชื่อ “เอี๊ยะ สายกระสุน” ผู้ที่พยายามเรียนรู้จากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษจนสามารถรักษาพิษงูทุกชนิดจากสมุนไพรพื้นบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนสามารถกล่าวได้ว่าไม่มีเภสัชกรแผนปัจจุบันคนไหนสามารถผลิตยารักษาพิษงูได้เทียบเท่ากับหมอสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ชื่อนายเอี๊ยะ สายกระสุน คนนี้ได้เลย
Cr. http://www.m-culture.in.th/moc_new/album/158240
สมุนไพรแก้พิษงูกัด
สมุนไพรแก้พิษงู-สัตว์มีพิษ “ โลดทะนงแดง”
ชาวสุรินทร์ถิ่นเมืองช้างจะรู้กิตติศัพท์หมอเอี๊ยะ สายกระสุนเป็นอย่างดี เพราะท่านเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรรักษางูมีพิษกัด หมอเอี๊ยะ สายกระสุน หมอพื้นบ้านแห่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์เล่าให้ฟังว่า ภูมิปัญญานี้สืบสานมาหลายชั่วอายุคน ต่อให้งูจะมีพิษมากน้อยขนาดไหนไม่มีกลัว รักษาหายมาเยอะแล้ว โดยใช้สมุนไพรโลดทะนงแดง-พระเจ้าปลูกหลง บ้างก็เรียกนางแซง หรือหนาดคำ ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือโลดทะนงแดงเพราะมีเปลือกหุ้มรากสีแดงและโลดทะนงขาวซึ่งมีเปลือกหุ้มรากสีดำ แต่ชนิดที่มีสรรพคุณทางยาแก้พิษต้องใช้โลดทะนงแดงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพิษจากงูทุกชนิด แมงมุมทุกชนิดกัด ตะขาบกัด แมงป่องกัด และแม้กระทั่งกินเห็ดพิษ
แนวทางการรักษาใช้ 2 วิธีคือใช้ดื่มและใช้ทา สำหรับดื่มให้นำรากโลดทะนงแดง และเม็ดหมากแห้ง ฝนกับน้ำประมาณครึ่งแก้วดื่ม ดื่ม 1 แก้วสำหรับถูกงูทุกชนิดกัด ยกเว้นงูจงอางให้ดื่ม 2 ครั้ง ถ้าสัตว์อื่นกัดไม่ต้องดื่ม ส่วนกินเห็ดเป็นพิษดื่มครั้งเดียว กรณีใช้ทาให้นำรากต้นโลดทะนงแดงและหมากแห้งฝนกับน้ำมะนาวจนกระทั่งข้นแล้ว จึงนำไปทาบริเวณบาดแผลที่ถูกงูกัด แมงมุมกัด หรือสัตว์มีพิษกัด ทาทุกเช้า-เย็นจนกระทั่งหายเป็นปกติ สำหรับผู้ที่ถูกงูกัดไม่ควรดื่มเหล้า เพราะจะทำให้แผลอักเสบหายช้าและอาจเสียชีวิตได้
ในบางตำราใช้รากโลดทะนงแดงฝนกับเหล้าขาวดื่มทำให้อาเจียนอย่างแรง เพื่อถอนพิษสำหรับคนที่ถูกยาเบื่อ ยาเมา เมาเห็ดเมาหอยต่างๆ แต่ระวังอย่าใส่เหล้าขาวเยอะ เดี๋ยวจะเมาเหล้าขาวแทน ฮ่าๆๆ สำหรับสาวๆสามารถใช้ทาหัวฝีแก้ฟกช้ำใช้เป็นยาดูดหนองได้ดี ติดต่อหมอเอี๊ยะ สายกระสุน ปราชญ์พื้นบ้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ 08-4638-2713
Cr. http://www.jamrat.net/jamrathealth.aspx?blogid=21
สธ.มอบใบประกอบโรคศิลปะแพทย์แผนไทยให้เฒ่าชาวสุรินทร์ หลังใช้สมุนไพรรักษาพิษงูได้ผลชะงัด
| |
![]() |
รายงานข่าวจาก จ.สุรินทร์แจ้งว่า นายเอี้ยะ สายกระสุน หรือ “หมอเอี้ยะ” อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 61 หมู่ 2 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ปราชญ์ชาวบ้านที่นำว่านโลดทะนงแดงมาฝน (หิน) ลงในน้ำสะอาด ผสมหมากแห้ง ดื่มกินหรือโปะบาดแผลงูกัด ได้ทำหน้าที่เป็นหมออาสาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน ที่โรงพยาบาลกาบเชิง โรงพยาบาลปราสาท และโรงพยาบาลพนมดงรัก
โดยหากผู้ถูกสัตว์มีพิษกัดจะรีบเดินทางไปรักษาทันที และทุกวันต้องออกตรวจเยี่ยมผู้ที่มารักษาตัวทั้ง 3 โรงพยาบาลโดยไม่คิดค่าบริการ ส่วนว่านโลดทะนงแดงเปิดให้บูชาชุดละ 100 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้จะให้ฟรี แต่ทุกวันนี้ว่านโลดทะนงแดงเริ่มจะหายากมาก ต้องขออนุญาตเข้าหาในเขตพื้นที่ของทหาร ติดกับเขตชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
หมอเอี้ยะเล่าว่า เมื่อปี 2514 ได้ศึกษาเรื่องการแก้รักษาพิษงูหลังแม่ถูกงูเห่ากัดจนเสียชีวิต ซึ่งทุกคนช่วยอะไรไม่ได้เลย ตั้งแต่นั้นมาได้ขอคำแนะนำจากผู้รู้ คือ ลุง รวมทั้งศึกษาด้วยตนเอง จนมาพบว่านโลดทะนงแดงมีสรรพคุณแก้พิษงูได้ ต่อมาปี 2523 ได้ช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกงูกัด เนื่องจากโรงพยาบาลอยู่ไกลกว่า 40 กิโลเมตร ประกอบกับสถานีอนามัยสมัยนั้นไม่มีเซรุ่มแก้พิษงู ชาวบ้านใกล้ไกลจึงพากันมารักษาจำนวนมาก เกิดการยอมรับในภูมิปัญญาจากสมุนไพร
ขณะที่โรงพยาบาลกาบเชิงได้ศึกษาเรื่องของสมุนไพรด้านพิษงู จึงได้เชิญเข้าร่วมรักษาผู้ป่วยพร้อมกับแพทย์แผนปัจจุบัน และโรงพยาบาลปราสาท ให้เข้าร่วมรักษาเมื่อปี 2525 ขณะที่โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อำเภอพนมดงรัก ก็รู้กิตติศัพท์จนเป็นที่ยอมรับ กระทั่งกระทรวงสาธารณสุขได้ขึ้นทะเบียนใบประกอบโรคศิลปะแพทย์แผนไทยให้ ปัจจุบันเป็นหมออาสารักษาผู้ป่วยทั้ง 3 โรงพยาบาลตามแนวชายแดนด้วย
สำหรับวิธีการใช้ยา จะนำรากโลดทะนงแดง 1 หัวมาฝนกับหมากแห้ง ใช้น้ำสะอาดเป็นกระสายยา ฝนจนกระทั่งน้ำเป็นสีขุ่น แล้วให้ผู้ป่วยดื่ม รอสัก 3-5 นาทีจะอาเจียนออกมา หลังจากนั้นให้ดื่มซ้ำอีก ขณะเดียวกันทำยาปิดปากแผลที่งูกัด โดยบีบมะนาวเป็นกระสายยา นำรากโลดทะนงแดงและหมากแห้งมาฝน ปิดบริเวณปากแผลงูกัด ทำซ้ำไปเรื่อยๆ ทุก 2 ชั่วโมง ส่วนกรณีมีรอยไหม้ แผลเน่า ให้ใช้ว่านอึ่งทุบปิดแผล เด็กต้องลดปริมาณตามขนาด ซึ่งการใช้ยาไม่มีคาถากำกับแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ทางการแพทย์ได้นำรากว่านโลดทะนงแดงไปทดลองแล้ว พบว่าสามารถยับยั้งและลดพิษงูเห่าได้ ซึ่งขณะนี้แพทย์แผนไทยได้ขึ้นทะเบียนเรียบร้อยแล้ว
ปัจจุบันสมุนไพรชนิดนี้หายากมากขึ้น
Cr. http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000132843
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)