วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ขึ้นทะเบียนยาไทย 'ว่านโลดทะนงแดง' ใช้แทนเซรุ่ม ลดพิษงูเห่าได้


ปราชญ์ชาวบ้านวัย 66 ค้นพบสมุนไพรตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา "ว่านโลดทะนงแดง" เผยใช้รักษาแทนเซรุ่มแก้พิษงูในพื้นที่ห่างไกลมากว่า 40 ปี ได้ผลดีจนผู้คนยอมรับ ด้าน สธ.ให้ใบประกอบโรคศิลปะและขึ้นทะเบียนยาแพทย์แผนไทย
นายเอี้ยะ สายกระสุน อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 61 หมู่ 2 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ได้นำว่านโลดทะนงแดง นำมาฝน(หิน)ลงในน้ำสะอาด ผสมหมากแห้ง ใช้ดื่มกินหรือแปะบาดแผลที่โดนงูมีพิษทุกชนิดกัด มาตั้งแต่ปี 2523 จนชาวบ้านตั้งฉายาว่าหมอเอี้ยะ โดยขณะนี้ทำงานเป็นหมออาสาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันที่ รพ.อำเภอกาบเชิง รพ.อำเภอปราสาท และ รพ.อำเภอพนมดงรัก โดยไม่คิดมูลค่า ส่วนตัวยาที่เป็นว่านโลดทะนงแดง คิดค่าบูชาเพียงชุดละ 100 บาท เพราะเริ่มหายากมากขึ้น ต้องขออนุญาตในเขตพื้นที่ของทหารที่อยู่ติดกับเขตชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
ที่มาของการค้นพบว่านดังกล่าว นายเอี้ยะ กล่าวว่า หลังมารดาโดนงูเห่ากัดจนเสียชีวิตในปี 2514 แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ จึงปรึกษาลุงและศึกษาด้วยตนเอง จนมาพบว่าว่านดังกล่าวมีคุณสมบัติยับยั้งพิษงูได้ จากนั้นชาวบ้านก็แห่มารับการรักษาจำนวนมาก เกิดเป็นการยอมรับในภูมิปัญญาจากสมุนไพร ปัจจุบัน ทางการแพทย์ได้นำว่านรากต้นโลดทะนงแดงไปทดลอง พบว่าสามารถยับยั้งและลดพิษงูเห่าลงได้ จึงขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแพทย์แผนไทยเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ขึ้นทะเบียนใบประกอบโรคศิลปะแพทย์แผนไทยให้แก่นายเอี้ยะด้วย
สำหรับวิธีการใช้ยา ให้นำรากโลดทะนงแดงมาฝนกับหมากแห้งใช้น้ำสะอาดเป็นกระสายยา ฝนจนกระทั่งน้ำเป็นสีขุ่น ใช้ประมาณ 1 แก้ว ให้ผู้ป่วยดื่มยา รอสัก 3-5 นาที คนไข้จะอาเจียนออกมา 30 นาที หลังจากนั้นให้ดื่มยาซ้ำอีก ขณะเดียวกันทำยาปิดปากแผลที่งูกัด โดยมีมะนาวบีบมะนาวเป็นกระสายยา นำรากโลดทะนงแดงและหมากแห้งมาฝนปิดบริเวณปากแผลที่งูกัด ทำซ้ำทุก 2 ชั่วโมง ส่วนกรณีมีรอยไหม้ แผลเน่า ให้ใช้ว่านอึ่งทุบปิดแผล หากใช้ในเด็กต้องลดปริมาณตามขนาด
ข้อมูลจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ว่านโลดทะนงแดง มีชื่อเป็นทางการว่า Trigonostemon reidioides (Kurz) Craib อยู่ในวงศ์ ​Euphorbiaceae ในภูมิภาคอื่น ๆ เรียกต่างกันไป เช่น ข้าวเย็นเนิน (ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์); ดู่เบี้ย ดู่เตี้ย (เพชรบุรี); ทะนง รักทะนง (นครราชสีมา); ทะนงแดง (ประจวบคีรีขันธ์); นางแซง (อุบลราชธานี); โลดทะนงแดง (บุรีรัมย์);หนาดคำ (เหนือ) หัวยาเข้าเย็นเนิน ข้าวเย็นเนิน (ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงได้ถึง 1 เมตร มีรากเก็บสะสมอาหารพองโต ผิวสีแดงอมม่วง เนื้อสีขาว ลำต้นเรียวเล็ก ขึ้นเป็นกอ ทุกส่วนของต้นมีขน ลำต้นมีขนสั้นนุ่มหนาแน่น ใบเดี่ยว เรียงสลับ เนื้อใบหนา แผ่นใบรูปขอบขนาน หรือรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 6-10 เซนติเมตร โคนใบมน มีต่อมเล็กๆ 2 ต่อม ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม เห็นเส้นใบย่อยเห็นชัด และมีขนนุ่มหนาแน่นบนผิวใบทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร ช่อดอกแบบกระจะ ดอกสีขาว ชมพู ม่วงเข้มหรือเกือบดำ ออกเป็นช่อตามซอกใบและตามกิ่งก้าน ยาว 7-10 เซนติเมตร พบตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ออกดอกตลอดปี
สำหรับสรรพคุณในแง่ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ ราก เข้ายากับน้ำมะนาว ฝนกับน้ำดื่ม แก้ผิดสำแดง พิษแมงมุม ทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา เหง้า ฝนทา แก้สิว ฝ้า และฟกช้ำ เคล็ดบวม ราก ผสมกับพญาไฟ และปลาไหลเผือก ฝนน้ำดื่มถอนเมาเหล้า หากยาพื้นบ้านใช้ ราก ผสมกับเมล็ดหมาก ฝนน้ำกิน และผสมกับน้ำมะนาว ทาแผลแก้พิษงูชนิดที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ซึ่งควรมีการวิจัยเพิ่มเติม ต้มน้ำดื่ม หรือฝนรับประทาน ทำให้อาเจียนอย่างหนัก ใช้ถอนพิษคนกินยาเบื่อยาเมา หรือฝนน้ำกินช่วยให้เลิกดื่มเหล้า ส่วน ตำรายาไทยใช้ ราก มีรสร้อน ฝนน้ำกินทำให้อาเจียน เพื่อถอนพิษคนกินยาเบื่อ เมาพิษเห็ดและหอย แก้พิษงู แก้เสมหะเป็นพิษ (เสมหะหรืออุจจาระเป็นมูกเลือด) แก้หืด แก้วัณโรค เป็นยาระบาย ฝนเกลื่อนฝี หรือดูดหนองถ้าฝีแตก แก้ฟกช้ำ เคล็ดบวม แก้ปวดฝี คุมกำเนิด ต้มดื่ม แก้วัณโรค ฝนกับน้ำมะนาว หรือสุรา รับประทานแก้พิษงู ฝนทาแก้ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก

Cr. http://www.thairath.co.th/content/474582

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น