วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

‘หลักการแพทย์ผสมผสาน’ แพทย์แผนปัจจุบัน-หมอพื้นบ้าน ‘รักษา


พ่อเอียะ  สายกระสุน


นายแพทย์อภิสรรค์  
ผู้อำนายการโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา

..พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จ.สุรินทร์
ให้บริการด้วย ‘หลักการแพทย์ผสมผสาน’
แพทย์แผนปัจจุบัน-หมอพื้นบ้าน ‘รักษาพิษงู’

โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จ.สุรินทร์ เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ กรกฎาคม พ.. 2550 เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียงที่ได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ และเป็นโรงพยาบาลที่ไม่ยึดติดกับการรักษาด้วยหลักการแพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้น แต่ได้นำหลักการแพทย์ทุกศาสตร์ที่พิจารณาแล้วว่าได้ผลดีกับคนไข้มาผสมผสานกันเพื่อนำไปสู่สุขภาพที่ดี
วิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลมุ่งเน้นเรื่องของหลักการแพทย์ผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้การบริหารของนพ.อภิสรรค์ บุญประดับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ที่ได้พัฒนาการบริการด้วยหลักการแพทย์ผสมผสานของโรงพยาบาลจนสามารถเป็นศูนย์การเรียนรู้ของ อบต. และเป็นที่ศึกษาดูงาน
นพ.อภิสรรค์ กล่าวว่า หลักการแพทย์ผสมผสานของโรงพยาบาลมีอยู่ทั้งหมด 6 หลัก ได้แก่ หลักการของแพทย์แผนจีน หลักการของแพทย์แผนไทย หลักการของสมาธิบำบัด หลักการของแพทย์พื้นบ้าน หลักการของกายภาพบำบัด และหลักการของศีล 5
สำหรับหลักการของแพทย์พื้นบ้านนั้น จะมี หมอเอียะ สายกระสุน หมอพื้นบ้าน ที่เชี่ยวชาญในเรื่องสมุนไพรรักษาพิษงูเป็นผู้นำองค์ความรู้ทางด้านนี้มาใช้ในโรงพยาบาล ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันและหมอพื้นบ้านได้อย่างลงตัว

นพ.อภิสรรค์ เล่าว่า เมื่อมีคนไข้ที่ถูกงูกัดถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล นอกจากแพทย์เวรที่ให้การดูแลแล้ว หากวินิจฉัยว่าคนไข้ถูกงูพิษกัด หมอเอียะจะเป็นผู้ทำการรักษาด้วยสมุนไพรรักษาพิษงูซึ่งประกอบด้วยสมุนไพร 3 ชนิดคือ รากต้นโลดทะนงแดง หมาก และมะนาว วิธีการรักษาจะนำรากต้นโลดทะนงแดงและหมากนำมาฝนผสมกับน้ำประมาณครึ่งแก้วให้คนไข้ดื่ม รวมทั้งนำรากต้นโลดทะนงแดงและหมากนำมาฝนโดยใช้น้ำมะนาวเป็นตัวประสานยา นำมาทาบริเวณแผลที่ถูกงูพิษกัด จากนั้นหมอเอียะจะติดตามอาการคนไข้เช้า-เย็นจนกว่าจะมีอาการดีขึ้นและออกจากโรงพยาบาล โดยการดูแลรักษาจะเป็นการผสมผสานระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของไข้ และหมอเอียะ หมอพื้นบ้านให้การดูแลเช้า-เย็น
ทั้งนี้จากแนวทางของโรงพยาบาลทั่วไปและของกระทรวงสาธารณสุข ถ้าถูกงูพิษกัด เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แพทย์จะยังไม่ฉีดเซรุ่มให้ ถึงแม้จะนำงูมาด้วยและยืนยันว่าเป็นงูพิษ ต้องรอดูอาการจนกว่าจะมีอาการทางระบบ โดยงูแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ งูที่มีพิษต่อระบบประสาท เช่น งูเห่า งูจงอาง งูที่มีพิษต่อระบบเลือด เช่น งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ และงูที่มีพิษต่อระบบกล้ามเนื้อ เช่น งูทะเล ซึ่งงูประเภทหลังสุดนี้ไม่พบในภาคอีสาน
“ถ้าถูกงูที่มีพิษต่อระบบประสาทกัด คนไข้จะมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก แขนขาอ่อนแรง หนังตาตก หากมีอาการแสดงเช่นนี้ แสดงว่ามีอาการของพิษงูทางระบบประสาทแล้ว แพทย์จึงจะทำการให้เซรุ่ม แต่ถ้ายังไม่มีอาการจะต้องรอจนกว่าจะมีอาการ ถ้าหากถูกงูที่มีพิษต่อระบบเลือดกัด คนไข้จะต้องมีอาการเลือดออกผิดปกติ หรือเกิดการแข็งตัวในกระแสเลือดยาวนานผิดปกติจึงจะให้เซรุ่มได้ ซึ่งคนไข้ที่ถูกงูพิษกัดก็คงอยากจะได้รับการรักษาเลย ไม่อยากรอให้เกิดอาการก่อนแล้วถึงจะได้รับเซรุ่ม แต่ในทางการแพทย์แล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะสำหรับการแพทย์แผนปัจจุบัน เซรุ่มจัดเป็นยา ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะประโยชน์ แต่ยังมีโทษให้เกิดอาการแพ้ได้ เพราะฉะนั้นในการใช้จึงต้องมีข้อบ่งชี้”
ด้วยเหตุนี้การรักษาด้วยหลักการแพทย์พื้นบ้านของหมอเอียะจึงเข้ามาเติมเต็มให้ระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากการรักษาด้วยหมอเอียะจะใช้สมุนไพร และไม่ได้รอให้เกิดอาการก่อนแล้วจึงให้รักษา ซึ่งตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา เมื่อคนไข้ได้รับการรักษาด้วยสมุนไพรไปแล้ว ไม่มีคนไข้ที่เกิดอาการทางระบบประสาทหรือระบบเลือดและต้องได้รับเซรุ่มเลย อีกทั้งคนไข้ยังมีอาการดีขึ้นและสามารถกลับบ้านได้ ถือเป็นแนวทางที่ทางโรงพยาบาลนำมาเติมเต็มในระบบบริการสาธารณสุขให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เพราะก่อนหน้านี้การทำงานจะแยกส่วนกัน หมอพื้นบ้านก็รู้แต่มุมมองของหมอพื้นบ้าน แพทย์แผนปัจจุบันก็จะรู้แต่มุมมองของแพทย์แผนปัจจุบัน แต่เมื่อมาทำงานร่วมกัน ได้พูดคุยและร่วมดูแลคนไข้ก็ทำให้เข้าใจในหลักการมากขึ้น

นพ.อภิสรรค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการเรียนรู้ก่อเกิดเป็นการร่วมทำงานวิจัยในโครงการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการจัดการดูแลสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน ในประเด็นการรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูพิษและสัตว์พิษกัด โดยใช้สมุนไพรโลดทะนงแดง โดยสำนักการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก งานวิจัยนี้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552-2554 ซึ่งผลการรักษาออกมาดี คนไข้หายและไม่มีภาวะแทรกซ้อน และงานวิจัยชิ้นนี้ยังได้รับรางวัลในระดับเขต ระดับจังหวัด และระดับประเทศ ต่อมาหลังจากปี พ.ศ. 2555 จึงได้เริ่มทำงานวิจัยชิ้นที่ 2 เนื่องจากมีมุมมองจากนักวิชาการบางท่านมองว่า งูที่กัดคนไข้นั้นเป็นงูไม่มีพิษหรือมีพิษน้อย คนไข้ถึงหายได้โดยที่ไม่ต้องฉีดเซรุ่ม จึงเป็นที่มาของงานวิจัยชิ้นนี้ โดยเป็นการวิจัยโดยสำรวจทางระบาดวิทยาของคนไข้ที่ถูกงูพิษกัดตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก ครอบคลุมจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ว่ามีคนไข้ถูกงูพิษชนิดใดกัดบ้างและผลการรักษาเป็นอย่างไร เพื่อมาเทียบเคียงว่างูพิษของพนมดงรักไม่ใช่งูที่ไม่มีพิษ
ผลการวิจัยสรุปว่า ผลการรักษาโดยใช้ยาสมุนไพรมีอัตราการหายอยู่ที่ 97% อัตราการส่งต่ออยู่ที่ 3% แต่ถ้าเป็นคนไข้ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยสมุนไพร ใช้เซรุ่มและยา อัตราการหายอยู่ที่ 87% อัตราการส่งต่ออยู่ที่ 11% และปฏิเสธการรักษา 2% ดังนั้น จึงบ่งบอกได้ว่าสมุนไพรตำรับนี้มีประโยชน์และสามารถรักษาพิษงูได้จริง โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้นำเสนอที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา

“การทำงานร่วมกันให้ประสบความสำเร็จ อันดับแรกต้องสำรวจว่าในพื้นที่มีองค์ความรู้หมอพื้นบ้านอะไรบ้าง อันดับที่สองต้องเข้าใจวิธีคิด วิธีการ ในการใช้องค์ความรู้ของหมอพื้นบ้าน เนื่องจากหลายอย่างไม่สามารถตอบได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ตอบได้ด้วยประสบการณ์และเป้าหมาย อันดับที่สามต้องพิจารณาว่าองค์ความรู้ที่มีอยู่จะมาเติมเต็มในส่วนไหนของระบบ อันดับที่สี่มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง และอันดับสุดท้ายคือ ต้องสร้างคุณค่าและการมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด” นพ.อภิสรรค์ กล่าวทิ้งท้าย

Cr. http://www.wongkarnpat.com/viewya.php?id=762#.VdnxFPntlBc

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น