สาขาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร
ปราชญ์ชาวบ้านสาขาการแพทย์แผนไทย และสมุนไพร
การดูแลรักษาสุขภาพของมนุษย์มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล มนุษย์ในแต่ละสังคมต่างก็มีวิธีการดูแลสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยวิธีการต่าง ๆ ออกไป ทั้งนี้ขึ้นกับบริบทของชุมชน ระบบความเชื่อ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ที่มีลักษณะเฉพาะถิ่น สภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและระบบการแพทย์ กระแสหลักทำให้ประชาชนทั้ง ในเมืองและชนบทมีการพึ่งพิงระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบการแพทย์กระแสหลักเป็นส่วนใหญ่ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีลักษณะความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะลักษณะวัฒนธรรมไทย-เขมร ที่มีการดูแลสุขภาพที่แตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและควรที่จะได้มีการศึกษารวบรวมองค์ความรู้อันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้เพราะนับวันภูมิปัญญาเหล่านี้จะลดน้อยลงไปทุกขณะ
ดังนั้นจึงได้มีการศึกษาและรวบรวมภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านการดูแลสุขภาพในเบื้องต้นต่อไป
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ – สกุล นายเอี๊ยะ สายกระสุน เกิดใน ปีพ.ศ.๒๔๙๔ ที่บ้านทวารไพร ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๖๑ หมู่ ๒ บ้านท่าสว่าง ตำบลบักได
กิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียน บ้านรุน
มีบุตร ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓ คน ประกอบอาชีพรับจ้าง
วิธีการเรียนรู้ภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจในการเป็นหมอพื้นบ้าน
สาเหตุที่สนใจเรียนการรักษาแผลงูพิษกัด เกิดจากในขณะอยู่ในวัยรุ่น ได้ออกไปหาปู หากบ กับน้องสาวซึ่งมีอายุ ๑๒ ปี น้องสาวได้ถูกงูเห่ากัดที่มือ พ่อได้พาไปรักษากับหมอพื้นบ้าน ที่บ้านท่าสว่าง ตำบลบักได หมอพื้นบ้านได้ให้ยากินผสมเหล้าและเป่ารักษาอยู่ได้ ๗ วัน น้องสาวก็เสียชีวิต “ก่อนที่ผมจะเป็นหมองู น้องสาวของผมถูกงูเห่ากัดหลายวันจึงเสียชีวิต ตอนนั้นไม่มีรถยนต์สำหรับการเดินทาง ต้องปล่อยให้น้องสาวนอนตายไปทีละน้อยจนตายทั้งตัว ในความรู้สึกขณะนั้นผมรู้สึกว่าทำไมผมจึงไม่สามารถช่วยเหลือน้องสาวได้” จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รู้สึกว่าไม่มีหมอยาพื้นบ้านที่เก่งและช่วยรักษาผู้ถูกงูกัดได้ นายเอี๊ยะ สายกระสุน จึงได้เสาะหาหมอที่คิดว่ารักษาแผลงูพิษกัดได้ “ผมจึงเริ่มหาวิชาที่เกี่ยวกับการรักษาแผลงูพิษกัด ผมไปถามที่บ้านเกิด และไปที่อำเภอท่าตูม ญาติบอกว่าลุงเขยมียาสมุนไพรและเป็นหมอยารักษาแผลงูพิษกัด แต่ทุกวันนี้ลุงไปอยู่ที่พิจิตร ถ้าอยากเรียนให้ลงไปเรียนที่พิจิตร” ด้วยความอยากเรียน นายเอี๊ยะ
สายกระสุน จึงได้เดินทางไปที่จังหวัดพิจิตรไปหาหมอขวัญ เชียงคำ ซึ่งเป็นลุงเขย (ลุงเรียนมาจากเขมร) นายเอี๊ยะ สายกระสุน จึงตามไปขอเรียนจนกระทั่งได้รู้จักยาและวิธีการรักษา


การรักษาผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลพนมดงรัก
ในการเรียนวิชาครั้งนั้นมีพิธีการมอบตัวเป็นศิษย์โดยจะต้องมี อุปกรณ์ คือ ผ้าขาว ๑ ผืน ขันธ์ ๕ ดอกไม้ ธูปเทียน และเงิน ๔ บาท การรักษาครั้งแรกเมื่ออายุ ๒๑ ปี ผู้ป่วยถูกงูเห่ากัดมา ๓ วัน ไปรักษาที่โรงพยาบาลแต่อาการไม่ดีขึ้น ญาติของผู้ป่วยจึงขออนุญาตหมอนำผู้ป่วยกลับบ้านโดยบอกว่าจะกลับมาตายบ้าน จากนั้นได้นำมาหานายเอี๊ยะ สายกระสุน โดยบอกว่า “ไหน ๆ ก็จะตายอยู่แล้วก็ลองมาให้รักษาดู” นายเอี๊ยะ สายกระสุน เองก็ไม่แน่ใจในการรักษาครั้งแรกเท่าไหร่นักดังที่บอกว่า “ผมก็ไม่แน่ใจในการรักษาของผม เพราะเป็นรายแรก แต่ญาติเขาขอให้ผมรักษา ผมจึงลองรักษาดู ซึ่งขณะนั้นคนไข้ไม่มีสติคางแข็งต้องเอาช้อนงัดปากกรอกยา ต่อมาซักครึ่งชั่วโมงเขาก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นแล้วบอกว่าหิวข้าว จึงให้ญาติหาข้าวปลาให้กิน หลังจากนั้นเขาก็หายเป็นปกติ” นายเอี๊ยะ สายกระสุน บอกว่าคนไข้คนแรกคนนี้ในปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่
แนวความคิด
นายเอี๊ยะ มีแนวคิดในการดำรงชีวิตเป็นหมอพื้นบ้านคือ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวง ไม่ปฏิเสธในการไปช่วยรักษาคนไข้แม้จะดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่เคยปฏิเสธ ผู้ที่มาหาล้วนเดือดร้อน จึงต้องช่วยเต็มที่ การดำรงชีวิตนั้นยึดหลักใช้กินเท่าที่มีไม่พยายามมีหนี้สิน
ความสามารถเฉพาะ
นายเอี๊ยะ สายกระสุน มีความสามารถในการรักษาแผลงูพิษกัดและสัตว์พิษกัด โดยมีรายละเอียด ที่สามารถสรุปได้ดังนี้
๑. อธิบายลักษณะแผลงูพิษกัดและสัตว์พิษกัดแต่ละชนิดได้อย่างชัดเจน
๒. อธิบายลักษณะอาการของผู้ที่ถูกงูพิษกัดและรักษาผู้ถูกงูพิษกัดได้
๓. บอกอาการและรักษาผู้ที่ถูกแมงมุมกัด อธิบายและรักษาอาการผู้ที่ถูกตะขาบและ
แมงป่องต่อย ถูกเงี่ยงปลาดุกตำ
ในด้านจำนวนผู้มารับการรักษา นายเอี๊ยะ สายกระสุน บอกว่าในแต่ละปีมีไม่ต่ำกว่า
๖๐-๗๐ คน ส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ มีบางส่วนมาจากต่างอำเภอ เช่นอำเภอจอมพระ ที่มาจากต่างจังหวัด เช่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา ความถี่ของคนไข้ที่มารับการรักษา ช่วงหน้าฝนพบมาก เพราะชาวบ้านต้องออกกรีดยาง ออกหาอาหารในเวลากลางคืน
วิธีการรักษา
๑. นำรากโลดทะนงแดงมาฝนกับหมากสุกบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อยใช้น้ำสะอาดเป็น
กระสายยา ฝนยาจนกระทั่งน้ำเป็นสีขาวขุ่น ใช้ประมาณ 1 แก้ว
๒. ให้ผู้ที่ถูกงูพิษ/สัตว์พิษกัดดื่มยา รอสักครู่ประมาณ ๓-๕ นาที จะอาเจียนออกมาจากนั้นอีก ๓๐ นาทีให้ดื่มซ้ำอีก
๓. ในขณะเดียวกัน ก็ใช้รากโลดทะนงแดงฝนกับหมากแห้งและบีบมะนาวเป็นกระสายยา ปิดแผลบริเวณที่ถูกงูกัด โดยทาซ้ำไปเรื่อย ๆ ทุก ๒ ชั่วโมง
๔. กรณีที่มีรอยไหม้ แผลเน่าให้ใช้ว่านอึ่งทุบปิดแผลร่วมด้วย จะช่วยให้อาการดีขึ้น การรักษาไม่มีคาถากำกับ


การฝนยาและตัวยารักษาผู้บาดเจ็บ
การปฏิบัติตัวคนไข้ ห้ามกินเหล้าช่วงรักษา
ความสามารถด้านการรักษาโรคอื่น ๆ นอกจากการรักษาแผลงูพิษกัดแล้ว นายเอี๊ยะยังมีความรู้เรื่องการรักษาโรคริดสีดวง รักษาไข้ทับฤดู
ทรัพยากรที่ใช้
ในการรักษาผู้ที่ถูกสัตว์พิษและแผลงูพิษกัดนั้นมีการนำสมุนไพรมาใช้ คือ รากโลดทะนงแดง หรือพระเจ้าปลูกหลง (ภาษาลาว) หรือปะเตียลกะรัญ (เมล็ดหมากสุก) และมะนาว


สมุนไพรโลดทะนงแดงและส่วนประกอบที่เป็นยารักษา
วิธีการถ่ายทอดภูมิปัญญา
นายเอี๊ยะ สายกระสุนได้อธิบายว่า มีผู้มาขอเรียนการรักษาสัตว์พิษและงูพิษกัด โดยต้องตั้งครูเป็นเงิน ๑๒ บาท พร้อม ดอกไม้ ธูปเทียน ขันธ์ ๕ จากนั้นจึงจะสอนให้
ในการคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นลูกศิษย์ จะใช้หลักการพิจารณาดูภูมิหลังและประวัติความเป็นมา ต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และต้องมีความเสียสละ
สิ่งที่ทำให้ภูมิปัญญาคงอยู่
การที่ภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านยังคงอยู่ นั้นเนื่องจาก
๑. โรค/อาการบางชนิด เช่นการถูกงูพิษกัด ถ้าไม่รู้ว่าถูกอะไรกัดการรักษาแผนปัจจุบันต้องรอสังเกตอาการขณะที่หากใช้สมุนไพรสามารถใช้ได้ทันทีช่วยให้คนไข้ไม่ต้องทรมานจากการเจ็บปวด และไม่มีอาการข้างเคียงจากการเกิดแผลเน่าเปื่อย ทำให้ประชาชนยังนิยมใช้การรักษาแบบพื้นบ้านด้วย
๒. การที่หมอพื้นบ้านมีความเป็นกันเองผู้ป่วยและญาติสามารถพูดคุยซักถามได้โดยสะดวก

การประชุมหมอยาพื้นบ้านที่โรงพยาบาลพนมดงรัก
ผลงานที่ผ่านมา
การเป็นหมอพื้นบ้านของนายเอี๊ยะ สายกระสุน สามารถสรุปผลงานต่างๆที่ผ่านมาได้ดังนี้
๑. เป็นหมอพื้นบ้านที่ช่วยรักษาผู้ถูกสัตว์มีพิษและงูพิษกัดมาเป็นระยะเวลามากกว่า ๒๐ ปีจนกระทั่งได้รับการยอมรับและมีการนำสูตรตำรับยามาใช้ที่โรงพยาบาลกาบเชิง ที่สถานีอนามัยในเขตอำเภอพนมดงรัก และได้ร่วมในการรักษาผู้ที่ถูกงูพิษ สัตว์พิษกัดที่โรงพยาบาลพนมดงรัก โดยนายเอี๊ยะ บอกว่าการได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรักนั้นดี เพราะมีหมอที่โรงพยาบาลช่วยดูแลคนไข้ด้วย นายเอี๊ยะ บอกว่าสิ่งที่ตนเองภาคภูมิใจมากที่สุด คือ การที่โรงพยาบาลให้ตนเองได้ไปรักษาคนไข้ถูกงูกัดที่โรงพยาบาล ทำให้ตนรู้สึกว่ามีความสำคัญ ทางโรงพยาบาลยอมรับในความสามารถของตน “ก็พอมีรายได้จากที่ไปรักษาที่โรงพยาบาล ช่วยผมได้เยอะ” “ผมภูมิใจที่สุดที่หมอให้ผมไปช่วยรักษาที่โรงพยาบาล ทำให้คนรู้จักผมมากขึ้น”
๒. เป็นครูภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์
จากการรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านโดยการใช้สมุนไพรนั้นแสดงให้เห็นถึงคุณค่าขององค์ความรู้ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวสุรินทร์ ซึ่งยังคงมีบทบาทในการรักษาและคาดว่าภูมิปัญญาเหล่านี้จะยังคงอยู่ แต่อาจมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงในรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของการเจ็บป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป
การที่ภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านยังคงอยู่นั้นมีปัจจัยต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น การรักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วยบางชนิดที่ทางแผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาได้ ขณะที่หมอพื้นบ้านผู้รักษามีจิตใจที่มีความเสียสละ มีคุณธรรมและยินดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทนการที่ประชาชนมีความศรัทธาและความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน ที่หมอพื้นบ้านมีความเป็นกันเองผู้ป่วยและญาติสามารถพูดคุยซักถามได้โดยสะดวก นอกจากนี้ในแต่ละพื้นที่ที่มีบริบทต่างกันล้วนมีองค์ประกอบที่ทำให้หมอพื้นบ้านยังคงเป็นที่พึ่งของประชาชนในชนบทได้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาที่นับวันจะลดน้อยและหายากมากขึ้นทุกขณะ เราจึงควรที่จะต้องร่วมกันรณรงค์ให้เกิดการอนุรักษ์รักษาป่าและสมุนไพรในท้องถิ่นและส่งเสริมเยาวชนรุ่นหลังได้เกิดความภูมิใจในองค์ความรู้ของภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการรักษาผู้ที่เจ็บป่วยและทำให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถพึ่งพิงตนเองในการ ดูแลสุขภาพในเบื้องต้นได้
Cr. http://www.surinpao.org/index.php?action=read&mod=menu&Id=53#.Vdn1AvntlBd
การดูแลรักษาสุขภาพของมนุษย์มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล มนุษย์ในแต่ละสังคมต่างก็มีวิธีการดูแลสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยวิธีการต่าง ๆ ออกไป ทั้งนี้ขึ้นกับบริบทของชุมชน ระบบความเชื่อ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ที่มีลักษณะเฉพาะถิ่น สภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและระบบการแพทย์ กระแสหลักทำให้ประชาชนทั้ง ในเมืองและชนบทมีการพึ่งพิงระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบการแพทย์กระแสหลักเป็นส่วนใหญ่ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีลักษณะความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะลักษณะวัฒนธรรมไทย-เขมร ที่มีการดูแลสุขภาพที่แตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและควรที่จะได้มีการศึกษารวบรวมองค์ความรู้อันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้เพราะนับวันภูมิปัญญาเหล่านี้จะลดน้อยลงไปทุกขณะ
ดังนั้นจึงได้มีการศึกษาและรวบรวมภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านการดูแลสุขภาพในเบื้องต้นต่อไป
นายเอี๊ยะ สายกระสุน ปราชญ์ชาวบ้านด้าน การแพทย์แผนไทย
ชื่อ – สกุล นายเอี๊ยะ สายกระสุน เกิดใน ปีพ.ศ.๒๔๙๔ ที่บ้านทวารไพร ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๖๑ หมู่ ๒ บ้านท่าสว่าง ตำบลบักได
กิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียน บ้านรุน
มีบุตร ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓ คน ประกอบอาชีพรับจ้าง
วิธีการเรียนรู้ภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจในการเป็นหมอพื้นบ้าน
สาเหตุที่สนใจเรียนการรักษาแผลงูพิษกัด เกิดจากในขณะอยู่ในวัยรุ่น ได้ออกไปหาปู หากบ กับน้องสาวซึ่งมีอายุ ๑๒ ปี น้องสาวได้ถูกงูเห่ากัดที่มือ พ่อได้พาไปรักษากับหมอพื้นบ้าน ที่บ้านท่าสว่าง ตำบลบักได หมอพื้นบ้านได้ให้ยากินผสมเหล้าและเป่ารักษาอยู่ได้ ๗ วัน น้องสาวก็เสียชีวิต “ก่อนที่ผมจะเป็นหมองู น้องสาวของผมถูกงูเห่ากัดหลายวันจึงเสียชีวิต ตอนนั้นไม่มีรถยนต์สำหรับการเดินทาง ต้องปล่อยให้น้องสาวนอนตายไปทีละน้อยจนตายทั้งตัว ในความรู้สึกขณะนั้นผมรู้สึกว่าทำไมผมจึงไม่สามารถช่วยเหลือน้องสาวได้” จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รู้สึกว่าไม่มีหมอยาพื้นบ้านที่เก่งและช่วยรักษาผู้ถูกงูกัดได้ นายเอี๊ยะ สายกระสุน จึงได้เสาะหาหมอที่คิดว่ารักษาแผลงูพิษกัดได้ “ผมจึงเริ่มหาวิชาที่เกี่ยวกับการรักษาแผลงูพิษกัด ผมไปถามที่บ้านเกิด และไปที่อำเภอท่าตูม ญาติบอกว่าลุงเขยมียาสมุนไพรและเป็นหมอยารักษาแผลงูพิษกัด แต่ทุกวันนี้ลุงไปอยู่ที่พิจิตร ถ้าอยากเรียนให้ลงไปเรียนที่พิจิตร” ด้วยความอยากเรียน นายเอี๊ยะ
สายกระสุน จึงได้เดินทางไปที่จังหวัดพิจิตรไปหาหมอขวัญ เชียงคำ ซึ่งเป็นลุงเขย (ลุงเรียนมาจากเขมร) นายเอี๊ยะ สายกระสุน จึงตามไปขอเรียนจนกระทั่งได้รู้จักยาและวิธีการรักษา
การรักษาผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลพนมดงรัก
แนวความคิด
นายเอี๊ยะ มีแนวคิดในการดำรงชีวิตเป็นหมอพื้นบ้านคือ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวง ไม่ปฏิเสธในการไปช่วยรักษาคนไข้แม้จะดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่เคยปฏิเสธ ผู้ที่มาหาล้วนเดือดร้อน จึงต้องช่วยเต็มที่ การดำรงชีวิตนั้นยึดหลักใช้กินเท่าที่มีไม่พยายามมีหนี้สิน
ความสามารถเฉพาะ
นายเอี๊ยะ สายกระสุน มีความสามารถในการรักษาแผลงูพิษกัดและสัตว์พิษกัด โดยมีรายละเอียด ที่สามารถสรุปได้ดังนี้
๑. อธิบายลักษณะแผลงูพิษกัดและสัตว์พิษกัดแต่ละชนิดได้อย่างชัดเจน
๒. อธิบายลักษณะอาการของผู้ที่ถูกงูพิษกัดและรักษาผู้ถูกงูพิษกัดได้
๓. บอกอาการและรักษาผู้ที่ถูกแมงมุมกัด อธิบายและรักษาอาการผู้ที่ถูกตะขาบและ
แมงป่องต่อย ถูกเงี่ยงปลาดุกตำ
ในด้านจำนวนผู้มารับการรักษา นายเอี๊ยะ สายกระสุน บอกว่าในแต่ละปีมีไม่ต่ำกว่า
๖๐-๗๐ คน ส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ มีบางส่วนมาจากต่างอำเภอ เช่นอำเภอจอมพระ ที่มาจากต่างจังหวัด เช่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา ความถี่ของคนไข้ที่มารับการรักษา ช่วงหน้าฝนพบมาก เพราะชาวบ้านต้องออกกรีดยาง ออกหาอาหารในเวลากลางคืน
วิธีการรักษา
๑. นำรากโลดทะนงแดงมาฝนกับหมากสุกบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อยใช้น้ำสะอาดเป็น
กระสายยา ฝนยาจนกระทั่งน้ำเป็นสีขาวขุ่น ใช้ประมาณ 1 แก้ว
๒. ให้ผู้ที่ถูกงูพิษ/สัตว์พิษกัดดื่มยา รอสักครู่ประมาณ ๓-๕ นาที จะอาเจียนออกมาจากนั้นอีก ๓๐ นาทีให้ดื่มซ้ำอีก
๓. ในขณะเดียวกัน ก็ใช้รากโลดทะนงแดงฝนกับหมากแห้งและบีบมะนาวเป็นกระสายยา ปิดแผลบริเวณที่ถูกงูกัด โดยทาซ้ำไปเรื่อย ๆ ทุก ๒ ชั่วโมง
๔. กรณีที่มีรอยไหม้ แผลเน่าให้ใช้ว่านอึ่งทุบปิดแผลร่วมด้วย จะช่วยให้อาการดีขึ้น การรักษาไม่มีคาถากำกับ
การฝนยาและตัวยารักษาผู้บาดเจ็บ
ความสามารถด้านการรักษาโรคอื่น ๆ นอกจากการรักษาแผลงูพิษกัดแล้ว นายเอี๊ยะยังมีความรู้เรื่องการรักษาโรคริดสีดวง รักษาไข้ทับฤดู
ทรัพยากรที่ใช้
ในการรักษาผู้ที่ถูกสัตว์พิษและแผลงูพิษกัดนั้นมีการนำสมุนไพรมาใช้ คือ รากโลดทะนงแดง หรือพระเจ้าปลูกหลง (ภาษาลาว) หรือปะเตียลกะรัญ (เมล็ดหมากสุก) และมะนาว
สมุนไพรโลดทะนงแดงและส่วนประกอบที่เป็นยารักษา
นายเอี๊ยะ สายกระสุนได้อธิบายว่า มีผู้มาขอเรียนการรักษาสัตว์พิษและงูพิษกัด โดยต้องตั้งครูเป็นเงิน ๑๒ บาท พร้อม ดอกไม้ ธูปเทียน ขันธ์ ๕ จากนั้นจึงจะสอนให้
ในการคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นลูกศิษย์ จะใช้หลักการพิจารณาดูภูมิหลังและประวัติความเป็นมา ต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และต้องมีความเสียสละ
สิ่งที่ทำให้ภูมิปัญญาคงอยู่
การที่ภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านยังคงอยู่ นั้นเนื่องจาก
๑. โรค/อาการบางชนิด เช่นการถูกงูพิษกัด ถ้าไม่รู้ว่าถูกอะไรกัดการรักษาแผนปัจจุบันต้องรอสังเกตอาการขณะที่หากใช้สมุนไพรสามารถใช้ได้ทันทีช่วยให้คนไข้ไม่ต้องทรมานจากการเจ็บปวด และไม่มีอาการข้างเคียงจากการเกิดแผลเน่าเปื่อย ทำให้ประชาชนยังนิยมใช้การรักษาแบบพื้นบ้านด้วย
๒. การที่หมอพื้นบ้านมีความเป็นกันเองผู้ป่วยและญาติสามารถพูดคุยซักถามได้โดยสะดวก
การประชุมหมอยาพื้นบ้านที่โรงพยาบาลพนมดงรัก
การเป็นหมอพื้นบ้านของนายเอี๊ยะ สายกระสุน สามารถสรุปผลงานต่างๆที่ผ่านมาได้ดังนี้
๑. เป็นหมอพื้นบ้านที่ช่วยรักษาผู้ถูกสัตว์มีพิษและงูพิษกัดมาเป็นระยะเวลามากกว่า ๒๐ ปีจนกระทั่งได้รับการยอมรับและมีการนำสูตรตำรับยามาใช้ที่โรงพยาบาลกาบเชิง ที่สถานีอนามัยในเขตอำเภอพนมดงรัก และได้ร่วมในการรักษาผู้ที่ถูกงูพิษ สัตว์พิษกัดที่โรงพยาบาลพนมดงรัก โดยนายเอี๊ยะ บอกว่าการได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรักนั้นดี เพราะมีหมอที่โรงพยาบาลช่วยดูแลคนไข้ด้วย นายเอี๊ยะ บอกว่าสิ่งที่ตนเองภาคภูมิใจมากที่สุด คือ การที่โรงพยาบาลให้ตนเองได้ไปรักษาคนไข้ถูกงูกัดที่โรงพยาบาล ทำให้ตนรู้สึกว่ามีความสำคัญ ทางโรงพยาบาลยอมรับในความสามารถของตน “ก็พอมีรายได้จากที่ไปรักษาที่โรงพยาบาล ช่วยผมได้เยอะ” “ผมภูมิใจที่สุดที่หมอให้ผมไปช่วยรักษาที่โรงพยาบาล ทำให้คนรู้จักผมมากขึ้น”
๒. เป็นครูภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์
จากการรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านโดยการใช้สมุนไพรนั้นแสดงให้เห็นถึงคุณค่าขององค์ความรู้ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวสุรินทร์ ซึ่งยังคงมีบทบาทในการรักษาและคาดว่าภูมิปัญญาเหล่านี้จะยังคงอยู่ แต่อาจมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงในรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของการเจ็บป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป
การที่ภูมิปัญญาด้านการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านยังคงอยู่นั้นมีปัจจัยต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น การรักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วยบางชนิดที่ทางแผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาได้ ขณะที่หมอพื้นบ้านผู้รักษามีจิตใจที่มีความเสียสละ มีคุณธรรมและยินดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทนการที่ประชาชนมีความศรัทธาและความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน ที่หมอพื้นบ้านมีความเป็นกันเองผู้ป่วยและญาติสามารถพูดคุยซักถามได้โดยสะดวก นอกจากนี้ในแต่ละพื้นที่ที่มีบริบทต่างกันล้วนมีองค์ประกอบที่ทำให้หมอพื้นบ้านยังคงเป็นที่พึ่งของประชาชนในชนบทได้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาที่นับวันจะลดน้อยและหายากมากขึ้นทุกขณะ เราจึงควรที่จะต้องร่วมกันรณรงค์ให้เกิดการอนุรักษ์รักษาป่าและสมุนไพรในท้องถิ่นและส่งเสริมเยาวชนรุ่นหลังได้เกิดความภูมิใจในองค์ความรู้ของภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการรักษาผู้ที่เจ็บป่วยและทำให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถพึ่งพิงตนเองในการ ดูแลสุขภาพในเบื้องต้นได้
Cr. http://www.surinpao.org/index.php?action=read&mod=menu&Id=53#.Vdn1AvntlBd
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น